เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

19

May

ญี่ปุ่น

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

   เที่ยวไฮไลท์ของญี่ปุ่น คงต้องยกให้ภูเขาไฟฟูจิเลย ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับภูเขาไฟ ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นนะบอกเลย เอ่ยชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิใครๆก็รู้จัก แม้กระทั่งเด็ก 5-6 ปี ก็รู้จักกันแล้วตำนานมาก  ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดและสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาในฤดูกาลไหนก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันไป และถ้าหากวันไหนท้องฟ้าปลอดโปร่งมากๆ ก็จะสามารถมองเห็นได้จากเมืองโตเกียว และเมืองโยโกฮาม่าด้วย ภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่บริเวณจังหวัด ชิซูโอเกะและจังหวัดยามานาชิอยู่ทางตะวันตกของโตเกียว 

   ในปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์ ให้อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ชาวญี่ปุ่นได้มีความผูกพันกับภูเขามานานหลายศตวรรษ ตำนานเล่าว่านักบวชฮะเซะงะวะ โคะโกะเกียว (ค.ศ. 1541 - 1646) ที่เป็นบุคคลสำคัญได้เคยปีนขึ้นลงภูเขานี้มากว่า 100 ครั้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีการก่อตั้งกลุ่มฟูจิโกะซึ่งเป็นกลุ่มที่รวม ผู้นับถือภูเขาไฟฟูจิ ผู้นับถือนิกายนี้ได้ก่อตั้งศาลเจ้า สร้างอนุสาวรีย์หิน และอดอาหารเป็นการอุทิศ ความคลั่งไคล้นี้ท้ายที่สุดก็เป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลโชกุนโทกุกาวะตัดสินใจสั่งห้ามนับถือศาสนานี้

     แต่ถึงอย่างนั้น ประเพณีบูชาภูเขาที่มีมาอย่างช้านานก็ได้ทำให้ภูเขาลูกนี้ยังคงเป็นที่เคารพนบน้อมในฐานะสถานที่ที่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณ ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่นี่ยังมีที่สำหรับแสวงบุญอีกด้วย ผู้คนกว่า 300,000 คนจะมาปีนภูเขาไฟฟูจิ ทุก ๆ ฤดูร้อน เส้นทางปีนเขาหลักทั้งสี่สายต่างมีเส้นทางไปยอดเขาต่างกัน รวมทั้งสถานที่หยุดพักหรือ “สถานี” เพื่อบริการสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักตามทาง นักปีนเขาส่วนใหญ่จะวางแผนให้ปีนขึ้นไปทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ลองจินตนาการว่าคุณปีนเขาในช่วงเช้าตรู่เพื่อขึ้นไปบนยอดเขาและชมพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากเส้นขอบฟ้า ในยุคก่อน

     ภูเขาไฟฟูจิ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพระและยังเป็นสถานที่แสวงบุญของคนธรรมดาทั่วไปอีกด้วย ศาลเจ้าต่าง ๆ ที่เชิงเขาเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าภูเขาไฟ ฟูจิมีความสำคัญทางด้านจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ภูเขาไฟ ฟูจิมีภาพจำที่โดดเด่นที่สุดในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603 - 1867) ชุดผลงานโดยศิลปินภาพพิมพ์ไม้ที่ชื่ออันโด ฮิโรชิเงะซึ่งเป็นภาพ ภูเขาไฟฟูจิ จะแสดงให้เห็นถึงภูเขาจากจุดชมวิวและสถานที่ต่าง ๆ โดยผู้คนจากทั่วโลกสามารถสัมผัสกับกลิ่นอายของภูมิภาคและวิถีชีวิตของชาวบ้านได้ เช่นเดียวกันนี้เอง
 
    ภาพพิมพ์ไม้โดยศิลปินคัตสึชิกะ โฮกูไซผู้ยิ่งใหญ่เองก็มีอิทธิพลสำคัญต่อศิลปินตะวันตกอย่างวินเซนต์ แวน โก๊ะ รวมไปถึงถึงนักแต่งเพลง โคลด เดอบุสซี วิวสวยงามของภูเขาไฟ ฟูจิที่นิยมในยุคเอโดะทำให้ภูเขากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก มหัศจรรย์ทางภูมิศาสตร์ ภูเขาไฟลูกนี้ที่เกิดขึ้นประมาณ 100,000 ปีก่อนได้ปะทุอยู่บ่อยครั้งจนในท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นภูเขาไฟ ฟูจิซึ่งคว้าตำแหน่งภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วยความสูง 3,776 เมตร การปะทุครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1707 กินเวลา 16 วัน โดยเถ้าภูเขาไฟลอยไปไกลถึงโตเกียว
 
   การปะทุของภูเขาไฟยังทำให้เกิดโฮเอซัง (ยอดเขาฟูจิอันดับสอง) ทะเลสาบทั้งห้าแห่งที่เชิงเขา และถ้ำมากมายใกล้ป่าอะโอคิกะฮะระ พื้นที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคนี้เหมาะแก่การทำกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้งและผ่อนคลาย เพราะประวัติศาสของภูเขาไฟลูกนี้ มีมายาวนานและความสวยงามที่เกิดขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่แทบตลอดทั้งปีไม่มีว่างเว้น แถมสถานที่แห่งนี้ยังมีที่เที่ยวใกล้เคียงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมที่พัก ร้านค้าร้านอาหาร ล้อมรอบเยอะแยะมากมาย
 
   สำหรับช่วงฤดูไหนที่เหมาะสำหรับไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ มีสองฤดูด้วยกัน เริ่มต้นจากฤดูร้อน ฤดูกาลที่ท้องฟ้าแจ่มใส สำหรับใครที่เป็นสายผจญภัยแนะนำให้มาช่วงนี้เดือนมิ.ย.- ส.ค. เพราะฟ้าจะเปิดเหมาะสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดท้ายคือฤดูหนาว เดือนก.ย. – พ.ย. หิมะเริ่มปกคลุม ภูเขาไฟฟูจิจะสวยงามที่สุด สุดท้ายนี้อากาศของภูเขาไฟฟูจิ จะมีอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าจะเดินขึ้นเขาภูเขาไฟฟูจิ ในฤดูร้อน โอกาสที่อุณหภูมิจะต่ำเพียง 5-8 องศา ดังนั้นจึงควรเช็คพยากรณ์อากาศก่อนเดินขึ้นเขาทุกครั้ง ทั้งนี้ควรนำเสื้อกันหนาวไปทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง 

วิธีการเดินทาง
   รถบัส เป็นหนทางที่ประหยัดและง่ายสำหรับคนที่ไม่ชินทางอย่างชาวต่างชาติแบบเรา ๆ แต่อาจใช้เวลาในการเดินทางเยอะกว่าการขึ้นรถไฟและควบคุมเวลาไม่ได้หากการจราจรในบริเวณนั้นหนาแน่น