22
Mar
ตุรกี
เที่ยวตุรกี เมืองคัปปาโดเกีย Cappadocia ประเทศตุรกี ที่เป็นเมืองมรดกโลก
ที่มาคำว่าคัปปาโดเกีย หรือคัปปาโดเชีย
ก่อนอื่น ชาขม และ ลุงพเนจอห์น จะพาทุกท่านให้รู้จักกับคำว่า คัปปาโดเกีย หรือ คัปปาโดเชีย อันนี้แล้วแต่จะเรียกนะจร้า ดั้งเดิมคำนี้มาจากภาษาเปอร์เชียนั่นเอง ซึ่งแปลว่า คัตปาตุกา (Katpatuka) มีความหมายว่า ดินแดนที่มีม้าอันแสนสวย ( The Land Of Beautiful Horses ) นั่นเอง คัปปาโดเกียตั้งอยู่บนพื้นที่ๆ เคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน ชื่อ เอร์จีเยส (Erciyes) มีความสูงประมาณ 3,916 เมตร บนยอดเขามีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปีเลย เราสามารถมองเห็นได้ทั้งทะเลดำ และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ย้อนกลับไปเมื่อหลายร้อยๆๆๆ ปีที่ผ่านมา เมืองนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ และถูกลาวาปกคลุมพื้นที่หลายร้อยไมล์เลยทีเดียว ลาวาเหล่านี้ถูกทับถมกันเป็นระยะเวลายาวนานจนกลายเป็นหิน ซึ่งต่อมาได้เกิดพายุอย่างรุนแรง ทั้งลมทั้งฝนกัดกร่อนร่อนชั้นลาวาต่างๆ เหล่านี้ทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นสภาพหุบเขา และบางพื้นที่เกิดเป็นร่องลึก บางที่จะแปรสภาพเป็นเสาหิน กรวยหิน กำแพงถ้ำ และเนื้อหินในหุบเขาเหล่านี้เป็นเนื้อหินอ่อนจึงเหมาะแก่การแกะสลัก และเจาะเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ และใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ อาทิเช่น เป็นห้องนอน เป็นคอกม้า เป็นบ้าน โบสถ์ ค่ายทหาร ที่พัก โรงอาหารของนักบวช ห้องบำเพ็ญเพียร อากาศภายในจะเย็นสบายในฤดูร้อน อากาศอบอุ่นในฤดูหนาว เมืองนี้มีสถานที่ๆ น่าสนใจให้เราเที่ยวเยอะแยะมากมาย.. ตามมาดูกัน
เกอเรเม (Goreme)
เกอเรเม (Goreme) สวยและมีชื่อเสียงที่สุด เรียกว่า Open Air Museum หรือ Rock Churches สามารถเดินชมได้อย่างเพลิดเพลิน เริ่มตั้งแต่
Nun’s Monastery ภูเขากรวยหิน
Nun’s Monastery ภูเขากรวยหิน เจาะเป็น 6 ชั้นทำเป็นห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ภายในมีภาพเขียนสีแดงเฟรสโก มีชื่อเสียงมาก
โบสถ์เซนต์บาซิล (St.Basil Cathedral) 4 แห่งเจาะเข้าไปในผนังหิน
โบสถ์เซนต์บาซิล (St.Basil Cathedral) 4 แห่งเจาะเข้าไปในผนังหิน
โบสถ์เซนต์เอลมาลิ (Elmali Kilise หรือ Apple Church)
โบสถ์เซนต์เอลมาลิ (Elmali Kilise หรือ Apple Church) เจาะเป็นภาพรูปไม้กางเขน เป็นอุโมงค์มีหน้าต่างเจาะอยู่ในที่สูง เพื่อแสงสว่างส่องเข้าไปข้างใน มีภาพเขียนสีสวยงาม เขียนรูปพระเยซู พระแม่ และ เซนต์จอห์นผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิ้ล Ailas, Daniet, Jonas และ Moses
โบสถ์เซนต์บาร์บารา (St.Barbara Church)
โบสถ์เซนต์บาร์บารา (St.Barbara Church) มีภาพเขียนสีคนขี่ม้า พระเยซู เขียนสีแดง-ดำ
โบสถ์เซนต์แคเธอรีน St.Katherine Church
โบสถ์เซนต์แคเธอรีน (St.Katherine Church) สร้างขึ้นโดยผู้บริจาคชื่อแอนนาจากศตวรรษที่ 11 ในโบสถ์มีรูปกางเขนในสมัยกรีกโบราณ มีโดมอยู่เหนือจุดศูนย์กลาง ภายในมีรูปลักษณ์คล้ายไม้กางเขนเขนทรงกระบอก ภายในมีเก้าชั้นภายในมึดทึบ และมีซอกฝังศพสองแห่ง
โบสถ์มืด (Dark Church)
โบสถ์มืด (Dark Church) มี 2 ชั้น สร้างมาแล้วราว 1,000 ปี มีขนาดเล็ก แคบ มีแสงสว่างเข้ามาน้อย แต่มีภาพเขียนสีแบบเฟรสโก (เขียนขณะที่ผนังปูนยังเปียกอยู่ หากเขียนผิดพลาดต้องรอให้ปูนแห้งก่อน แล้วจึงจะเขียนได้) ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุด สียังสดใสงดงามในโทนสีน้ำตาล และแดง
โบสถ์คาริกลิ (Carikli Church)
โบสถ์คาริกลิ (Carikli Church) เป็นโบสถ์ที่มีเสาขนาเล็กที่สุดในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง เกอเรเม Goreme ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของพิพิธภัณฑ์ ประตูทางเข้ามาจากทางทิศเหนือ โบสถ์สร้างขึ้นแม่แค่สองชั้นเท่านั้น ชั้นล่างสุดจะเป็นห้องรับประทานอาหาร และในโบสถ์นี้จะมีภาพวาดของ ชีวิตของพระเยซูอยู่ 12 ภาพด้วยกัน
พาซาแบค (Pasabag)
พาซาแบค (Pasabag) เดินทางโดยรถบัสจากเกอเรเมราว 25 นาที บนเส้นทางไปยังอวาโนส (Avanos) จะเห็นกลุ่มภูเขาหินเป็นรูปกรวยมีหมวกวางอยู่ข้างบน แปลกตาสวยงามมาก ไม่มีที่ใดเหมือน จุดเด่นคือ ภูเขา 2 ปล่องไฟ สมญา Hermitage Of St.Simon ที่พำนักของบาทหลวงไซมอนเมื่อ 1,500 ปีมาแล้ว ซึ่งเดินทางมาจากยูซาเลม เพื่อปลีกวิเวก แสวงหาที่ปฏิบัติธรรม และเป็นที่นิยมของพระองค์อื่นๆ ต่อมา บางครั้งจึงเรียกกันว่า The Valley of the Monks
เดอร์เบนท์ (Derbent) เป็นหุบเขาหินสีชมพู
เดอร์เบนท์ (Derbent) เป็นหุบเขาหินสีชมพู ธรรมชาติได้สร้างสรรค์ปรุงแต่งหินที่นี่เป็นรูปร่างต่างๆ แปลกๆ มากมาย เช่น โลมา เพนกวิน พระแม่มารี และพระสาวก ที่สำคัญโดดเด่นคือหินรูปอูฐหมอบอยู่มีขนาดใหญ่ชมพูเหมือนอูฐของจริงเป็นอย่างมาก จึงเป็นจุดที่ทุกคนจะต้องมาขอถ่ายรูปด้วย
เมืองใต้ดินเคย์มากลิ (Underground City of Kaymakli)
เมืองใต้ดินเคย์มากลิ (Underground City Of Kaymakli) ในช่วง 2,000 ปีมาแล้ว ชาวเมืองหนีภัยพวกโรมันที่ต้องการฆ่าผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยขุดภูเขาหินทำเป็นเมืองอยู่ใต้ภูเขา ปัจจุบันค้นพบหลายแห่ง ลึกลงไปเท่ากับตึก 10 ชั้น มีอุโมงค์ความยาวเชื่อมต่อกันได้ราว 80 กิโลเมตร มีก้อนหินรูปกลมแบนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.50 เมตร หนา 50 เซนติเมตร หนักถึง 300 กิโลกรัม ไว้สำหรับปิดอุโมงค์ ทางเดินแคบเป็นช่วงๆ เพื่อป้องกันข้าศึก ห้องแรกๆ จะเป็นคอกม้า มีหลุมใส่หญ้า มีที่ผูกม้า ห้องต่อๆ ไปจะเชื่อมถึงกันหมด และค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ ทำเป็นห้องอาหาร ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว โบสถ์ โรงเรียน ห้องเก็บอาหาร เก็บไวน์ มีช่องใส่ตะเกียงน้ำมัน ช่องเก็บหม้อดินเผา ห้องเลี้ยงสัตว์ จำพวกแกะ แพะ เป็ด ไก่ และวัว ผู้คนที่อยู่ใต้ดินยังทำเบียร์จากข้าวบาเลย์ ทำไวน์จากองุ่น และยังมีบ่อน้ำมากถึง 200 บ่อ คาดกันว่ามีผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองใต้ดินราว 10,000 คน มีความลึกเฉลี่ยลงไปในดินราว 25 เมตร มีอุโมงค์แคบๆ ถึง 100 อุโมงค์ มีช่องระบายอากาศที่ดี และพอเพียง อุณหภูมิเฉลี่ย 14-16 องศาเซลเซียส
คาราวานสะราย หรือคาราวานซาราย (Caravansarai หรือ Kervansaray)
คาราวานสะราย หรือคาราวานซาราย (Caravansarai หรือ Kervansaray) ที่พักคนเดินทางบนเส้นทางสายไหม (The Silk Road) ของคาบสมุทรอนาโตเลีย ชนเผ่าฮิตไทต์ (Hittites) ใช้เป็นเส้นทางค้าขายในสมัยโบราณ รวมไปถึงชาวโรมัน นักบุญปอล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กองกำลังทหารสงครามครูเสดก็เคยใช้เส้นทางนี้เช่นเดียวกัน โดยเป็นเส้นทางค้าขายผ้าไหม เครื่องเทศจากยุโรปสู่จีน ในช่วงยุคทองของราชวงศ์เซลจุก รัชสมัยกษัตริย์ Kilicarslan ที่ 2 และอาเลดดิน เดย์คูบาทที่ 1 มีขบวนคาราวานเดินทางค้าขายบนถนนสายไหมสายนี้มากมาย และได้รับความคุ้มครองอย่างปลอดภัยจากเซลจุก โดยเข้าพักค้างคืนในคาราวานสะรายที่สร้างขึ้นไว้ต้อนรับคนเดินทาง ซึ่งจะเป็นอาคารขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยม มีกำแพงสูงแข็งแรง โดยรอบก่อด้วยหินล้วน มีประตูทางเข้าใหญ่ด้านหน้า แกะสลักบนหินอย่างสวยงามประณีตบรรจง ทั้งสองข้างกำแพงประตูที่มียอดแหลมขึ้นไป ประตูทางเข้าเป็นวงโค้ง คาราวานสะราย ที่มีขาดใหญ่ที่สุดในอนาโตเลีย ชื่อว่า Sultan Han สร้างโดยกษัตริย์เซลจุก อาเลดดิน เดยูะบาทที่ 1 ในปี 1772 สร้างบนพื้นที่ 6,120 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยลานกว้าง ห้องนอน ห้องครัว ห้องอาบน้ำ ห้องเสบียง ห้องสวดมนต์ (Kioak Masjit) ห้องนวดเตอร์กิชบาธ ห้องทำขนมปัง คอกม้า ภายในให้ความรู้สึกเหมือนปราสาทที่ตกแต่งสวยงามแข็งแรง มีกำแพงที่หนา และหอคอยที่สวยงาม ปัจจุบันมีการบูรณะซ่อมแซมใหม่ใกล้เคียงกับของเดิม ที่ออกแบบก่อสร้างโดยสถาปนิกชื่อดังของเซลจุก Havlanzade Mehmet