เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

โตรเอเชีย ซาเกรบไข่มุกแห่งทะเลเอเดรีติกเมืองหลวงน่าท่องเที่ยว

โตรเอเชีย ซาเกรบไข่มุกแห่งทะเลเอเดรีติกเมืองหลวงน่าท่องเที่ยว

22

Mar

โครเอเชีย

โตรเอเชีย ซาเกรบไข่มุกแห่งทะเลเอเดรีติกเมืองหลวงน่าท่องเที่ยว

ตอนแรกนี้ เราจะตะลุยเมืองซาเกรบกันค่ะ
       ประเทศโครเอเชีย ประเทศที่ตั้งอยู่ในแหลมอีสเตรีย ประเทศสวยงามจนได้ชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก แค่ฟังเกริ่นแค่นี้ เพื่อนๆ ก็ต้องจินตนาการได้ว่า ประเทศติดทะเลแห่งนี้จะสวยงามสักแค่ไหน แต่สิ่งที่ชาขมจะเล่า และจะเอาภาพมาโชว์เพื่อนๆ นั้นเป็นแค่เพียงครึ่งหนึ่งของความงามที่ชาขมได้เห็นจริง เพราะสถานที่จริง วิวจริงนั้นสวยงามมากมายมหาศาล... เที่ยวโครเอเชีย

       ชาขมได้มีโอกาสไป ประเทศโครเอเชียในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมากๆ เลยค่ะที่จะได้ไปเห็นประเทศที่ใครๆ ก็พูดถึงว่าเป็นประเทศที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีท้องทะเลสีน้ำเงิน มีท้องฟ้าที่ฟ้า แต่เป็นสีฟ้าที่แตกต่างจากบ้านเรา ในการเดินทางในครั้งนี้เราเริ่มต้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ และเดินทางโดยสายการบิน Turkish Airlines ที่เราเลือกสายการบิน Turkish Airlines ในครั้งนี้ก็เพราะว่า ในการเดินทางไปประเทศโครเอเชียนั้น มีแค่ 2 สายการบินที่สามารถบินไปลงที่เมืองหลวงคือซาเกรบ (Zagreb) และบินกลับ จากอีกเมืองได้ นั่นก็คือบินกลับจากเมืองดูบรอฟนิค (Dubrovnik) ทำให้เราเดินทางเลาะลงรอบเดียว ไม่ต้องนั่งรถย้อนกลับมาขึ้นเครื่องที่สนามบินซาเกรบอีก.. เที่ยวสบายๆ ค่ะ

วันที่หนึ่ง - การเดินทางไปเที่ยวประเทศโครเอเชีย

ขอเล่าเริ่มต้นว่า ในการเดินทางไปเที่ยวประเทศโครเอเชียนั้น เราต้องขอวีซ่าที่สถานทูตโครเอเชีย ที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียค่ะ.. ถ้าไปกับบริษัททัวร์ เค้าก็จะดำเนินการให้หมด เตรียมเอกสารไม่ยุ่งยากเลยค่ะ แต่สำหรับคนที่ยังมีวีซ่าเชงเก้นอยู่ และได้ใช้ในการเข้าประเทศเชงเก้นแล้วนั้น สามารถใช้วีซ่านี้ เข้าเที่ยวโครเอเชียได้เลยค่ะ.. เมื่อชาขมได้วีซ่าโครเอเชีย ก็เห่อค่ะ.. เห่อตั้งแต่ก่อนจะได้เดินทาง ก็ลองเปิดหน้าพาสปอร์ตไปดูวีซ่า ก็ได้เห็นว่า เค้าใช้ชื่อประเทศว่า Republika Hrvatska ค่ะ ไม่มีคำว่า Croatia ซึ่ง Hrvatska (ฮาวาชก้า) หมายถึง ภาษาของชาวสลาฟ ย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1991 เมื่อแยกประเทศออกมาจากยูโกสลาเวีย จึงได้ตั้งชื่อเป็นโครเอเชีย ส่วนภาษาที่ใช้กัน คือภาษาโครเอท และภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาเลี่ยน
      

 เราเริ่มต้นบินจากกรุงเทพฯ ไปยังเมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี ใช้เวลาประมาณ 9-10 ชั่วโมงค่ะ รอต่อเครื่องซักประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เราก็บินต่อไปยังเมืองซาเกรบ (Zagreb) เมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ และประเทศนี้ มีลักษณะประเทศเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว มีพื้นที่ประเทศประมาณ 46,000 ตร.กม. ประชากร 4.2 ล้านคน ซึ่งในเมืองหลวงนี้ นับว่าใหญ่เป็นอันดับ 1 แล้วมีประชากร 9 แสนคนค่ะ เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการศึกษา ธุรกิจ คมนาคม และการเมืองการปกครอง..  เราบินลงที่สนามบิน PLESO INTERNATIONAL AIRPORT เป็นสนามบินใหม่แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก.. เมื่อเรารับกระเป๋าแล้ว เดินออกมานอกตัวอาคาร โอ... ว้าววว เราเจออากาศเย็นค่ะ อากาศวันนี้ประมาณ 12-13 องศา และมีแสงแดดค่ะ ได้ฟิลลิ่งของความเป็นยุโรปซะเหลือเกิน ผู้ร่วมเดินทางทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดีใจที่ได้สัมผัสความเย็น..ก็มายุโรปทั้งทีนี่คะ ก็ต้องอยากสัมผัสอากาศที่แตกต่างจากบ้านเราเป็นธรรมดาเนาะ ^^ แล้วเราก็ขึ้นรถบัสตรงไปยังตัวเมืองซาเกรบ เพื่อจะเที่ยวในเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์นานนับพันปี ระหว่างทางเราเห็นแม่น้ำซาว่า ซึ่งไหลมาจากประเทศออสเตรีย ผ่านสโลเวเนีย แล้วมาเข้าโครเอเชีย ไหลต่อไปยังแม่น้ำดานูป แล้วไหลต่อไปถึงโรมาเนีย ออกไปสู่ทะเลดำนู่นค่ะ.. เมืองนี้แบ่งเป็นเมืองตอนบน และเมืองตอนล่าง โดยมีรถราง FUNICULAR เชื่อมกันค่ะ รถรางนี้สร้างตั้งแต่ปี 1890 ก็โอ้ววว ร้อยกว่าปีแล้วนะคะ และที่มีชื่อเสียงมากระดับโลกนั้น ก็เพราะว่าเป็นรถรางที่สั้นที่สุดในยุโรปน่ะซีคะ ใช้เวลาในการขึ้น-ลงแต่ละเที่ยวใช้เวลาไม่เกิน 1 นาที นานนนนนนนนนมากกกกค่า #ประช้ดดดด ^^

วันที่สอง - เริ่มต้นที่เมืองซาเกรบ

เริ่มต้นที่เมืองซาเกรบ

วันที่สาม - ตลาดโดรัค หรือ Dolac Market ซาเกรบ

แล้วก็มาถึงจุดหนึ่งที่ชาขมชอบมากๆ คือ ตลาดโดรัค หรือ Dolac Market เป็นตลาดกลางแจ้งที่เก่าแก่ประจำเมืองก็ว่าได้ ที่นั่นชาวบ้านจะนำผลไม้สดๆ จากไร่มาขาย มีผักนานาพันธุ์ ที่ชาขมเห็นในวันนี้ก็จะมีลูกพรุนลูกโต ลูกพลับ ค่อนข้างมีลักษณะเหมือนพลับญี่ปุ่นค่ะ ลูกยาวๆ หน่อย มีราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่บ้าง แต่ลูกไม่ใหญ่เพราะว่าไม่ใช่ฤดูกาลของเค้านะคะ มีแอปเปิ้ลหลากพันธุ์ ถั่ววอลนัท และหลายหลากพันธุ์ ลูกฟิกสด รวมไปถึงลูกฟิกซ์อบแห้ง และชีส ราคาไม่แพงเลยค่ะ ส่วนผักนั้นมีมากมายหลายหลาก กะหล่ำหัวโตก็มีค่ะ ของสดอื่นๆ ก็มี และข้างๆ ตลาดมีร้านขายของที่ระลึก ของฝาก และชุดประจำชาติ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ทำจากลาเวนเดอร์ ถัดลงมาด้านล่างจะมีร้านขายดอกไม้สดค่ะ รวมทั้งร้านที่ทำดอกไม้เป็นวงกลมเตรียมไว้ฉลองเทศกาลคริสต์มาสก็เริ่มนำมาขายกันบ้างแล้ว เราใช้เวลาเดินเล่นอยู่ที่นี่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ แล้วเราก็มานัดกันตรงจัตุรัสกลางเมือง ระหว่างรอ.. ชาขมอดไม่ได้ที่จะลิ้มชิมรสเบียร์ของประเทศนี้ค่ะ ที่ขึ้นชื่อเรียกว่าลิมุนเบียร์ เป็นเบียร์รสมะนาว แต่ว่ามีแอลกอฮอล์ผสมเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นค่ะ #การดื่มสุราไม่ดีนะคะ ไม่แนะนำค่ะ #ไม่โฆษณาไม่ขายไม่เชียร์และไม่ลงภาพค่ะ อิอิ เที่ยวโครเอเชีย
       ในการช้อปปิ้งประเทศนี้ เราจะนำเงินยูโรหรือว่าเงินดอลล่าติดมาก่อนค่ะ แล้วค่อยมาแลกเป็นเงินสกุลประเทศนี้ เรียกว่าคูน่า (Kuna) 1 Kuna ก็ประมาณ 5-6 บาทไทยค่ะ ของประเทศนี้นับว่าราคาไม่แตกต่างกับบ้านเรามากนัก ก็ช้อปปิ้งได้สบายๆ เลยค่ะ
       ของฝากจากเมืองซาเกรบที่นิยมกัน ออกแนวน่ารัก ก็จะเป็นของรูปหัวใจ อาจเป็นคุ้กกี้ หรือวัสดุปูนเบาๆ เวลานำไปให้ใคร ก็จะถูกใจว่าเค้าจะเห็นตัวเองอยู่ในหัวใจนั้น เพราะเค้าจะเอากระจกเล็กๆ แปะไว้ค่ะ.. เป็นความกิ๊บเก๋หวานๆ ไปอีกแบบ ^^ และคุ้กกี้ พาพริญญ่า ซึ่งมีส่วนผสมของพริกไทย และอีกอย่างที่ต้องเล่าคือช็อกโกแลตยี่ห้อ Kras เป็นขนมพื้นเมืองที่ดังมาก เหมาะแก่การซื้อไปฝากเพื่อนฝูง กระซิบว่า ราคาย่อมเยามากๆ ค่ะ

วันที่สี่ - มหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น

แล้วเราก็เดินขึ้นเนินไปสักหน่อยก็จะผ่านร้านอาหารในถนนเล็กๆ แลดูน่านั่งกินน่ารักในสไตล์ยุโรป เราได้แต่เหลียวมองค่ะเพราะว่ามันต้องเป็นตอนเย็นนะถึงจะน่านั่ง ..ร้านเล็กๆ ริมทางเดินแคบๆ ที่มีพื้นเป็นหินก้อนใหญ่ๆ แบบยุโรป..ได้อารมณ์อ่า แล้วเราก็เดินขึ้นเนินต่อไป.. ชมมหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น เป็นมหาวิหารสูงตระหง่านเป็นสง่าสวยงาม เที่ยวโครเอเชีย
       มหาวิหารเซนต์สตีเฟ่น เป็นโบสถ์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุด และเป็นจุดกำเนิดเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองซาเกรบ ในศตวรรษที่ 11 ดำริสร้างโดยกษัตริย์ Ladislaus  และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1217 แต่ได้ถูกทำลายไปโดยชาวมองโกลในปี ค.ศ. 1242 และถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยบิชอป Timotej หลายปีต่อมา.. ในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 15 นั้นจักรวรรดิออตโตมันเริ่มรุกราก ทำให้เกิดการสร้างกำแพงป้อมปราการรอบโบสถ์.. ในศตวรรษที่ 17 มีการสร้างหอระฆังขึ้นทางด้านทิศใต้ และใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ทางทหาร เพื่อป้องกันชาวเติร์ก..  ภายหลังโบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ในแผ่นดินไหวเมื่อปี ค.ศ. 1880 โบสถ์ทรุดตัวลง และหอคอยได้รับความเสียหายเกินกว่าจะซ่อมได้ จึงได้มีการบูรณะโบสถ์ใหม่ในสไตล์นีโอ-โกธิค (Neo-Gothic)  ยอดแหลมของโบสถ์สูง 108 เมตรหรือ 354 ฟุต เราจะพบภาพมหาวิหารแห่งนี้อยู่ด้านหลังของธนบัตร 1000 คูน่า ซึ่งพิมพ์ในปี ค.ศ. 1993 และเป็นเกียรติที่ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้เคยเสด็จมาเยี่ยมเยือนเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2011 และส่วนลานตรงกลางหน้ามหาวิหาร จะมีเสาใหญ่ และมี มาดอนน่า หรือว่า Virgin Mary รายล้อมด้วยเทวดาทั้ง 4 องค์ อยู่ยอดเสา
       ..ได้เวลาถ่ายรูปจ้าา ถ่ายรูปสักพักนึงเราก็เดินเลาะลงมา ผ่านสวนหย่อมมีรูปสัมฤทธิ์ของนักบุญจอร์จ หรือเซนต์จอร์จ (Saint George) ล้อมด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมากมาย ท่านเป็นนักบุญอุปถัมภ์ของ Stone Gate ซึ่งเคยถูกไฟไหม้ไป จากการทิ้งระเบิดของทหารอเมริกัน และภายหลังได้พบรูปปั้นพระแม่มารี ซึ่งชาวคริสต์ หรือผู้ศรัธรา ก็สามารถเข้ามาจุดเทียน หรือขอพรพระแม่ได้ และที่เห็นตัวหนังสือบนกำแพงหลายภาษา ซึ่่งทั้งหมดนั้นก็แปลว่า ขอบคุณ เวลาเราเดินผ่าน ก็ใช้ความสงบในการเดิน... งานถ่ายรูปก็มาอีกแล้วค่ะ ชาขมว่าต้องเป็นทริปที่มีรูปนับพันๆ แน่นอนเลยค่ะ ^^ และเมื่อผ่าน Stone Gate ก็ได้นึกย้อนไปถึงสมัยศตวรรษที่ 13 คือเมืองกลาเด็คที่ตรงนี้เป็นที่อยู่ของขุนนาง และชนชั้นสูง ส่วนตรงข้ามนั้น เป็นเมืองคอพทอน ในสมันก่อนเคยสู้รบแย่งน้ำกัน เรื่องจ่ายภาษี เป็นที่มาของ Bloody Mary..

วันที่ห้า - โบสถ์เซนต์มาร์ค ซาเกรบ

แล้วเราก็เดินไปชมโบสถ์เซนต์มาร์ค เป็นโบสถ์ที่อยู่ในจัตุรัสรายล้อมด้วยที่ทำการของรัฐบาล เป็นสัญลักษณ์ของโครเอเชีย หรือสัญลักษณ์ของเมืองซาเกรป สร้างในศตวรรษที่ 13 และแต่งเติมในสไตล์โกธิกในศตวรรษที่ 15 ในส่วนของประตูสวยงามที่มีรูปปั้น โบสถ์นี้เก๋ไก๋ คือมีความเป็นศิลปะมากเชียวค่ะ เพราะว่ามีหลังคาเป็นกระเบื้องสีโดดเด่นเป็นสง่าไม่เหมือนใคร เหมาะแก่การถ่ายรูปยิ่งนัก กระเบื้องนี้นำมาจากฮังการี ทางขวาเป็นตราประจำเมืองซาเกรบ บนพื้นหลังสีแดง ตราทางซ้ายมีความซับซ้อนหน่อยนึงค่ะ ซ้ายบนเป็นตารางแดง-ขวา นั่นเป็นสัญลักษณ์ของโครเอเชีย ขวาบนเป็นหัวสิงโต 3 หัวบนพื้นน้ำเงิน เป็นสัญลักษณ์ของแคว้นดัลมาเชีย (Dalmatia) ส่วนล่างเป็นแคว้นสลาโวเนีย (Slavonia) สัญลักษณ์คือ ตัวคูน่า ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Marten เป็นสัตว์ในตระกูลพังพอน หมาป่า หรือตัวมิ้งนั่นเอง ในอดีตตัวคูน่า เป็นสัตว์การค้าจึงเป็นที่มาของสกุลเงินของโครเอเชีย คือคูน่า และยังมีรูปตัวคูน่าอยู่บนเงินเหรียญอีกด้วยค่ะ

วันที่หก - เมืองนีเป็นต้นกำเนิดของเนคไทด์

  อีกเรื่องน่าสนใจของเมืองซาเกรปนี้ก็คือว่า เมืองนีเป็นต้นกำเนิดของเนคไทด์ค่ะ ฝรั่งเรียกว่า Tie เพราะว่าสมัยก่อนนั้นประมาณยุคกลาง คนโครเอเชีย จะเป็นทหารรับจ้าง ประเทศรอบๆ ที่รวยกว่า ก็จะจ้างไปรบแทน ซึ่งภรรยาจะผูกผ้าพันคอให้เวลาที่สามีต้องไปรับจ้างรบ พอชาวปารีเซียง เห็นทหารขี่ม้ามาเป็นชาวโครเอเชีย เรียกว่า คราวัด พอเห็นการผูกพันคอ ก็ว่าเท่ห์ ทันสมัย จึงเอาไปประยุกต์ปรับใช้ จนกลายเป็นเนคไทด์ ซึ่งในภาษาฝรั่งเศส ก็เรียกเนคไทด์ว่า คราวัด ทุกวันนี้ก็ยังนิยมซื้อเนคไทด์ไว้ให้คนรัก เป็นการแสดงความรักต่อกัน เที่ยวโครเอเชีย
       และที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเที่ยวเมืองซาเกรบคือ ต้องแวะกินไอศครีม ร้าน VINCEK ซึ่งจัดว่าเป็นหนึ่งในไอศครีมที่อร่อยที่สุดในยุโรปทีเดียวค่ะ รสเด็ดของเค้าคือ Dark Chocolate ค่ะ แต่ชาขมว่า รสอื่นๆ ก็อร่อยไม่แพ้กันนะคะ และราคาเพียงแค่ 9 Kuna หรือประมาณ 50 บาทไทยค่ะ
       เมื่อเราเดินเล่น และช้อปปิ้งในตลาดกันอย่างจุใจแล้ว เราก็ไปรับประทานอาหารจีนกันค่ะในวันแรกนี้ ซึ่งแน่นอนว่าอาหารจีนก็จะอร่อยถูกปากคนไทยอย่างเรา มื้อนี้อิ่มแปล้ค่ะ
จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปสู่เมืองโอพาเทีย (Opatija) เมืองที่มีสมญานามว่า “ไข่มุกแห่งทะเลเอเดรียติก” เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่น่ารักมาก และมีชื่อเดิมว่า ABBAZIA เป็นเมืองที่ประจันหน้ากับทะเลอาเดรียอาติก ที่เมืองนี้เราจะได้ชมอะไรกัน ต้องตาม #ไปเที่ยวด้วยกัน จ้า เที่ยวโครเอเชีย