22
Mar
ตุรกี
เที่ยวตุรกี เอเฟซุส Ephesus มหานครโบราณที่ ยิ่งใหญ่ในประเทศตุรกี ตอนที่ 2 เทพเจ้าไม่จ้ำเป็นต้องนุ่งผ
เจาะเวลาหาอดีต ณ ดินแดนโบราณ... เอเฟซุส (Ephesus) ประเทศตุรกี (ตอน 2: เทพเจ้าไม่จำเป็นต้องนุ่งผ้า...นะจ้ะ) ตอนที่แล้ว เราเล่าไปแล้วว่า จักรพรรดิโรมันนั้น มีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับเทพเจ้ากรีก จึงมีวิหารหลายที่ เรามาท่องเมืองเอเฟซุสกันต่อค่ะว่า จะได้พบเห็นเทพเจ้าใดกันอีกบ้างเอ่ย... นอกจากเทพอาเธมิส ซึ่งมีนมพันเต้า แล้ว..เรายังจะได้ชมรูปปั้น ผู้ชายเปลือย อร๊ายยย ชายรูปงามผู้นี้คือ แฮร์เมส (Hemes) ท่านผู้ส่งสารของเทพซีอุส เราทราบได้ว่าเป็นแฮร์เมส เพราะที่ตรงส่วนข้อเท้าทั้งสอง จะมีปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเทพผู้ส่งสารนั่นเอง แต่... มีรูปปั้นนี้มีบางสิ่งได้ถูกทำลายไป ไม่ใช่แค่เพียงส่วนใบหน้าเท่านั้น แต่คือ.. ปิกาจูของแฮร์เมส ก็หายไปด้วยจ้า ใครหยิบติดมือไป ระวังจะถูกทวงนะจ้ะ
วันที่หนึ่ง - จุดกำเนิดผู้ชายเปลือย อร๊ายยย ชายรูปงามผู้นี้คือ แฮร์เมส (Hemes)
วันที่สอง - จตุรัสโดมิเทียน (Domitian Square / Temple Of Domitian) ตุรกี
ถัดมาเราอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าจตุรัสโดมิเทียน (Domitian Square / Temple Of Domitian) เราจะเห็นเสาหินโบราณ 2 ต้นตั้งตระหง่านอยู่ซึ่งในอดีตเป็นวัดซึ่งสร้างถวายแด่จักรพรรดิโรมันโดมิเทียน เราจะได้เห็นรูปปั้นของท่านที่เสาหินทางด้านซ้าย เหนือเสาหินทั้งสองนี้ ซึ่งชั้นล่างเป็นร้าน และส่วนชั้นบนเป็นวิหาร ด้านข้างจะมีน้ำพุ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ถัดไปจะเจออนุสาวรีย์เมมมุส Memmius Memorial/Monument เมมมุสเป็นนายพลของกองทัพโรมัน ท่านมีชื่อเสียงมาก เพราะไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับสงครามครั้งไหนเลย (18) จึงได้สร้างอนุสารีย์ไว้เพื่อเป็นเกียรติ
วันที่สาม - เทพีไนกี้ Nike
วันที่สี่ - ศิลปินผู้รังสรรค์รูปปั้นรูปสลักหินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเกย์
แต่เมื่อสืบค้นอีก ก็พบว่าในยุคกรีกนั้น ศิลปินผู้รังสรรค์รูปปั้นรูปสลักหินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเกย์ ซึ่งการรักชอบเพศเดียวกันเป็นสิ่งปกติมากในยุคนั้น ศิลปินจึงแสดงผลงานได้ออกมาเปิดเผยถึงสัดส่วน และเน้นมัดกล้ามเนื้อที่สวยงามออกมาผ่านงานศิลปะนี้ เดินต่อมา เราจะพบกับ Trajan’s Fountain น้ำพุทราจัน (15) สร้างในศตวรรษที่ 2 ซึ่งทราจันเป็นชื่อจักรพรรดิโรมัน จะมีภาพให้เราได้เห็นว่าสมัยก่อนนั้นเป็นอย่างไร น้ำพุมี 2 ชั้น แต่ตอนนี้ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว นอกจากฐานเสา ที่นี่เคยเป็นน้ำพุที่ใหญ่โตมาก สร้างไว้เป็นที่พักผ่อน ตรงกลางน่าจะเป็นรูปปั้นจักรพรรดิทราจันเหยียบสิ่งกลมคล้ายลูกบอลจากภาพ.. ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ ทำให้เรากะได้ว่าของเดิมจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน น้ำจะไหลมาจากภูเขา ผ่านท่อมาลงสระ และไหลขึ้นเป็นน้ำพุ เมื่อยามค่ำคืน มีแสงจันทร์สะท้อนสระน้ำ และผู้คนมานั่งดื่มไวน์รอบสระนี้ ช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร และเป็นที่หย่อนใจที่งดงามนัก... เมื่อเราเดินต่อไป เราจะเห็นบ้านของชาวเมืองนี้ สร้างไม่บังกัน เพราะทุกหลังเคารพซึ่งกันและกัน และทุกหลังจะเห็นวิวเมืองทุกบ้าน และเค้าจะนิยมตกแต่งหน้าบ้านด้วยหินโมเสกลวดลายสวยงาม ซึ่งหินโมเสกสมัยนั้นทำมาจากหินจริงๆ มากะเทาะให้เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ เพื่อมาเรียงประดับให้หน้าบ้านสวยงาม
วันที่ห้า - วิหารฮาเดรียน Hadrian’s Temple ตุรกี
วันที่หก - Latrina หรือห้องน้ำโบราณ ตุรกี
เราเดินต่อมา ก็พบ Latrina หรือห้องน้ำโบราณ (10) ณ จุดนี้เป็นห้องน้ำสาธารณะ แน่นอนว่าในบ้านแต่ละบ้านจะมีห้องน้ำส่วนตัว แต่ ณ กลางเมืองนี้ ก็มีห้องน้ำสาธารณะ และด้านหลังก็เป็น Roman Bath ห้องอาบน้ำโรมัน ฉะนั้นที่แห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของห้องอาบน้ำโรมัน แต่ห้องน้ำสาธารณะนี้ก็มีแยกชายหญิงนะจ้ะ กล่าวคือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงเป็นเวลาสาวๆ ใช้ ส่วนหลังเที่ยงไปแล้วเป็นเวลาหนุ่มๆ ใช้จ้า เอิ่ม.... ก็เข้าท่าดีนะคะ ทำธุระไป พูดคุยกันไป เพราะมันไม่มีสิ่งใดกั้นขวางระหว่างกันในการทำธุระส่วนตัวกันเลย... และกลิ่นอีก สงสัยชาวเมืองนี้รักกันมาก จึงไม่รังเกียจกลิ่นธุระของกันและกันเลย.... ช่างเป็นนครแห่งความสุขจริงๆ...และสมัยนั้นเค้ายังสร้างเครื่องมือทุ่นแรงไว้อีก นั่นก็คือ ไม้ล้างก้น เค้าจะสร้างรางน้ำไว้ด้วยค่ะ ไว้ล้างไม้ล้างก้น ซึ่งส่วนปลายมีฟองน้ำติดอยู่ เวลาใช้ทำความสะอาดเสร็จก็จุ่มล้าง แล้วแขวนไว้ใช้ใหม่...เอิ่มๆๆๆๆ และแถมอีกว่า สมัยนั้นผู้คนร่ำรวยมาก ชีวิตมั่งคั่ง ก็กินดื่มกันตลอดเวลา เมื่อกินจนกินไม่ไหว ก็มาล้วงคออ้วกที่ห้องน้ำนี้ แล้วก็กลับไปกินต่อได้อีก... จ้า เอาที่สบายใจจ้า
วันที่เจ็ด - Library of Celsus ห้องสมุดของเซลซุส ตุรกี
แล้วเราก็มาถึง Highlight นั่นก็คือ Library of Celsus ห้องสมุดของเซลซุส (4) สร้างในศตวรรษที่ 2 เซลซุสเป็นชื่อบรรพบุรุษของผู้ก่อตั้ง Ephesus จึงตั้งชื่อห้องสมุดแห่งนี้เพื่อเป็นเกียรติ และที่นี่เอง นับเป็นห้องสมุดใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อเล็กซานเดรียน ประเทศอียิปต์ ส่วนอันดับ 2 ก็อยู่ในประเทศตุรกี ที่เมืองเพอร์กามัม เมืองทางเหนือของอิสเมียร์ แต่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากเสาหินสองต้นสุดท้าย และที่นี่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 และมีม้วนกระดาษเก็บไว้ถึง 20,000 ม้วน ที่นี่เราจะเห็นรูปสลัก 4 ชิ้นด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์ทางปรัชญา ตรงกลางใหญ่ คืออาเธ่น่า ..และในตอนที่นักโบราณคดีขุดค้นพบที่แห่งนี้ พวกเค้าเจออุโมงค์ลับ และเห็นว่าปลายด้านนึงของอุโมงค์อยู่ในห้องสมุด และยาวมุดใต้ดินไปโผล่อีกด้าน ขอบอกว่า ไกลพอดูเลยนะคะ ซึ่งเป็นอีกอาคาร นั่นคือที่ที่มีสาวๆ ไว้บริการ เป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง.. เมื่อเสร็จกิจธุระ ก็เดินลอดอุโมงค์กลับไปยังห้องสมุดตามเดิม... อ้าว ...ก็บอกที่บ้านว่ามาห้องสมุดนี่นา..
วันที่เเปด - เมืองเอเฟซุสแห่งนี้ สมัยก่อนมีทางเข้าได้จากทางท่าเรือ
และเมืองเอเฟซุสแห่งนี้ สมัยก่อนมีทางเข้าได้จากทางท่าเรือ และเมื่อเข้ามาทางนี้ ก็จะพบกับป้าย ซึ่งมีความหมายลับบางอย่างซ่อนไว้ เป็นรูปรอยเท้าผู้ชาย ความหมายตามสัญลักษณ์ภาพคือ รอยเท้าซึ่งเป็นรอยเท้าผู้ชาย.. ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ชายก็จงเดินไปตามทางนี้ เมื่อไปทางนี้ คุณจะเจออาคาร และในอาคารนั้น จะมีหญิงงามรออยู่ และถ้าคุณจ่ายเงิน คุณก็จะได้มีความสัมพันธ์กับเธอคนนั้น อืมมม รูปหัวใจอาจแปลว่า ตกหลุมรักกันก็ได้มั้งคะ อิอิ และแปลกใจเพิ่มตรงที่ว่า.. สัญลักษณ์ที่หมายถึงการทำธุระกะหญิงสาวนั้น คือรูปหัวใจ ซึ่งรูปหัวใจดูค่อนข้างใหม่ และจากอักษรภาพโบราณที่เราเคยเห็นกันมา ก็ไม่มีที่ไหนแกะเป็นรูปหัวใจเลยนิ.. ว่าไหมคะ หรือว่าคนยุคปัจจุบันเป็นคนอนุมานเรื่องนี้ขึ้นมาหนอ..และที่ตระหง่านอยู่ข้างหน้าเราทุกคนคือ Theater หรือโรงละครนั่นเอง (2)
วันที่เก้า - โรงละครเมืองโบราณ 3 แบบด้วยกัน แบบกรีก แบบโรมัน และแบบกรีกโรมัน
ในตุรกี ถ้าคุณเข้าไปในเมืองโบราณ คุณจะได้เห็นโรงละคร 3 แบบด้วยกัน แบบกรีก แบบโรมัน และแบบกรีกโรมัน คือแบบผสมกันนั่นเอง ณ ที่ที่เรานั่งอยู่นี่เป็นแบบกรีกโรมัน ....เอาล่ะสิ ที่นี้ แบบกรีก กับแบบโรมันต่างกันอย่างไรล่ะ.. ถ้าเป็นโรงละครที่มีภูเขาอยู่ด้านหลัง หมายถึงโรงละครสร้างตรงทางลาดเขานั่นคือแบบกรีก ส่วนโรมันนั้น สร้างโรงละครได้ทุกที่ ที่ราบก็สร้างได้ เพียงแต่โรมันจะสร้างกำแพงขึ้นมาค้ำที่นั่งไว้ แบบเดียวกับโคลอสเซียม Colosseum ที่โรม นี่คือความแตกต่างหลัก ..ความต่างที่ 2 คือ เมื่อกรีกเข้ามา ณ ที่นี่ เค้าไม่ได้สร้างกำแพงใดๆ และโรมันจะสร้างกำแพง.. ทำไม? เพราะคนกรีกไม่ได้ชมแค่การแสดง แต่เค้าดูความสวยงามของธรรมชาติด้านหน้าด้วย ซึ่งทะเลอีเจียนก็ห่างไปเพียงแค่ 6 กม. เค้าก็จะชื่นชมวิวอันสวยงาม แต่ตอนเริ่มแรกที่นี่เป็นโรงละครกรีก คือสร้างพิงเขา และไม่มีกำแพง แต่เมื่อโรมันเข้ามายึดครอง จึงได้สร้างกำแพงขึ้นมา นั่นทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแบบกรีกโรมัน หรือแบบผสมนั่นเองค่ะ โรงละครนี้ จุคนได้ถึง 20,000 คน และที่นั่งแถวหน้านั้น ก็สร้างสูงขึ้นมา 1.5-2 เมตร เพราะมีการต่อสู้สิงโต และ Gladiator คือคนสู้คน แถมยังมีเหล็กแหลมยื่นออกมา เพื่อกันสิงโตกระโดดขึ้นหาผู้ชม และทุกๆ สัปดาห์ที่นี่มีสิงโตถูกฆ่าในการแข่งขันถึง 50-100 ตัว ซึ่งสิงโตเหล่านี้ขนทางเรือมาจากแอฟริกา และที่ปัจจุบันเรามีสิงโตเหลือน้อย ก็เพราะชาวโรมันฆ่าสิงโตไปนับล้านตัว และตรงด้านข้างของลานแสดง จะมีทางเข้าของสิงโต และห้องสิงโตอยู่ภายใน ส่วนทางเข้าผู้ชนอยู่ด้านบน ..ในส่วนของ Gladiator เหล่าบรรดานักสู้ล้วนเป็นทาส และกติกาคือ ผู้ชนะจะได้รับอิสรภาพ ผู้แพ้ถึงตาย การฆ่ากันตาย เป็นเรื่องปกติมากในสมัยนั้น ฉะนั้นจึงไม่มีการสร้างคุกไว้ โทษถึงตายนั้นง่ายมาก และยังเป็นความสนุกสนานอย่างมากของคนโรมันยุคนั้นด้วย และมีการให้ทาสต่อสู้กับสิงโตอีกด้วย ตายสิค่ะ!
วันที่สิบ - การพาย้อนเวลาไปสู่มหานครเก่าแก่เอเฟซุส