เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวตุรกี เอเฟซุส Ephesus มหานครโบราณที่ ยิ่งใหญ่ในประเทศตุรกี ตอนที่ 2 เทพเจ้าไม่จ้ำเป็นต้องนุ่งผ

เที่ยวตุรกี เอเฟซุส Ephesus มหานครโบราณที่ ยิ่งใหญ่ในประเทศตุรกี ตอนที่ 2 เทพเจ้าไม่จ้ำเป็นต้องนุ่งผ

22

Mar

ตุรกี

เที่ยวตุรกี เอเฟซุส Ephesus มหานครโบราณที่ ยิ่งใหญ่ในประเทศตุรกี ตอนที่ 2 เทพเจ้าไม่จ้ำเป็นต้องนุ่งผ

เจาะเวลาหาอดีต ณ ดินแดนโบราณ... เอเฟซุส (Ephesus) ประเทศตุรกี (ตอน 2: เทพเจ้าไม่จำเป็นต้องนุ่งผ้า...นะจ้ะ) ตอนที่แล้ว เราเล่าไปแล้วว่า จักรพรรดิโรมันนั้น มีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับเทพเจ้ากรีก จึงมีวิหารหลายที่ เรามาท่องเมืองเอเฟซุสกันต่อค่ะว่า จะได้พบเห็นเทพเจ้าใดกันอีกบ้างเอ่ย... นอกจากเทพอาเธมิส ซึ่งมีนมพันเต้า แล้ว..เรายังจะได้ชมรูปปั้น ผู้ชายเปลือย อร๊ายยย ชายรูปงามผู้นี้คือ แฮร์เมส (Hemes) ท่านผู้ส่งสารของเทพซีอุส เราทราบได้ว่าเป็นแฮร์เมส เพราะที่ตรงส่วนข้อเท้าทั้งสอง จะมีปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเทพผู้ส่งสารนั่นเอง แต่... มีรูปปั้นนี้มีบางสิ่งได้ถูกทำลายไป ไม่ใช่แค่เพียงส่วนใบหน้าเท่านั้น แต่คือ.. ปิกาจูของแฮร์เมส ก็หายไปด้วยจ้า  ใครหยิบติดมือไป ระวังจะถูกทวงนะจ้ะ 

วันที่หนึ่ง - จุดกำเนิดผู้ชายเปลือย อร๊ายยย ชายรูปงามผู้นี้คือ แฮร์เมส (Hemes)

นอกจากเทพอาเธมิส ซึ่งมีนมพันเต้า แล้ว..เรายังจะได้ชมรูปปั้น ผู้ชายเปลือย อร๊ายยย ชายรูปงามผู้นี้คือ แฮร์เมส (Hemes) ท่านผู้ส่งสารของเทพซีอุส เราทราบได้ว่าเป็นแฮร์เมส เพราะที่ตรงส่วนข้อเท้าทั้งสอง จะมีปีก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเทพผู้ส่งสารนั่นเอง แต่... มีรูปปั้นนี้มีบางสิ่งได้ถูกทำลายไป ไม่ใช่แค่เพียงส่วนใบหน้าเท่านั้น แต่คือ.. ปิกาจูของแฮร์เมส ก็หายไปด้วยจ้า  ใครหยิบติดมือไป ระวังจะถูกทวงนะจ้ะ

วันที่สอง - จตุรัสโดมิเทียน (Domitian Square / Temple Of Domitian) ตุรกี

ถัดมาเราอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าจตุรัสโดมิเทียน (Domitian Square / Temple Of Domitian) เราจะเห็นเสาหินโบราณ 2 ต้นตั้งตระหง่านอยู่ซึ่งในอดีตเป็นวัดซึ่งสร้างถวายแด่จักรพรรดิโรมันโดมิเทียน เราจะได้เห็นรูปปั้นของท่านที่เสาหินทางด้านซ้าย เหนือเสาหินทั้งสองนี้ ซึ่งชั้นล่างเป็นร้าน และส่วนชั้นบนเป็นวิหาร ด้านข้างจะมีน้ำพุ ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ถัดไปจะเจออนุสาวรีย์เมมมุส Memmius Memorial/Monument เมมมุสเป็นนายพลของกองทัพโรมัน ท่านมีชื่อเสียงมาก เพราะไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับสงครามครั้งไหนเลย (18) จึงได้สร้างอนุสารีย์ไว้เพื่อเป็นเกียรติ

วันที่สาม - เทพีไนกี้ Nike

เมื่อเราเดินต่อเข้าไปทางด้านใน เราจะเห็นก้อนหินอ่อนสวยงาม สลักนางฟ้าองค์นึงไว้ ซึ่งที่ดั้งเดิมของหินอ่อนชิ้นนี้ คืออยู่ตรงประตูทางเข้า แต่ภายหลังได้ย้ายมาไว้ ณ จุดนี้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมนาง และนางฟ้าผู้ถูกสลักในหินอ่อนนี้คือ เทพีไนกี้ Nike ทราบได้อย่างไรว่าคือ ไนกี้ เราจะเห็นสัญลักษณ์ไนกี้ อยู่ตรงส่วนที่เป็นผ้าพริ้วของนาง ตรงส่วนที่เป็นหยักพลิ้วของผ้า คล้ายๆ สัญลักษณ์ เครื่องหมายถูก ของแบรนด์ไนกี้..นางเป็นเทพีแห่งโชคลาภ และชัยชนะ แบรนด์ไนกี้จึงนำส่วนเสื้อผ้าของเทพีนี้มาเป็นแบรนด์สินค้าตนนั่นเอง

เท่าที่เราเดินเข้ามาในเมืองโบราณเอเฟซุสแห่งนี้ เราจะสังเกตได้ว่า เหล่าบรรดารูปปั้นเทพต่างๆ นั้น มักมีบางส่วนถูกกะเทาะหายไป และเทพส่วนใหญ่นั้น ไม่ค่อยนุ่งห่มอาภรณ์ใดๆ คือสังเกตได้เลยว่า ถ้ารูปปั้นนั้นไม่นุ่งอาภรณ์ นั่นคือรูปปั้นเทพเจ้า เพราะเทพเจ้านั้นไม่จำเป็นต้องปิดบังส่วนใด แต่..เอ..เทพีไนกี้ก็แต่งตัวด้วยผ้าพลิ้วงดงาม แต่ใช่ค่ะ เรายังคงสามารถเห็นหน้าอกของนางได้ แต่ยุคหลังมารูปปั้นจักรพรรดิโรมันก็

ไม่นุ่งอาภรณ์เช่นกัน ด้วยความเชื่อว่าจักรพรรดิโรมันก็เทียบเท่าเทพเจ้า .. และทันใดก็ได้เห็นรูปปั้นโชว์ six packs อีก นั่นคือเทพอพอลโล่ ..นั่นสิ ทำไมเป็นเทพแล้วจึงไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าล่ะ?

วันที่สี่ - ศิลปินผู้รังสรรค์รูปปั้นรูปสลักหินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเกย์

แต่เมื่อสืบค้นอีก ก็พบว่าในยุคกรีกนั้น ศิลปินผู้รังสรรค์รูปปั้นรูปสลักหินเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นเกย์ ซึ่งการรักชอบเพศเดียวกันเป็นสิ่งปกติมากในยุคนั้น ศิลปินจึงแสดงผลงานได้ออกมาเปิดเผยถึงสัดส่วน และเน้นมัดกล้ามเนื้อที่สวยงามออกมาผ่านงานศิลปะนี้ เดินต่อมา เราจะพบกับ Trajan’s Fountain น้ำพุทราจัน (15) สร้างในศตวรรษที่ 2 ซึ่งทราจันเป็นชื่อจักรพรรดิโรมัน จะมีภาพให้เราได้เห็นว่าสมัยก่อนนั้นเป็นอย่างไร น้ำพุมี 2 ชั้น แต่ตอนนี้ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว นอกจากฐานเสา ที่นี่เคยเป็นน้ำพุที่ใหญ่โตมาก สร้างไว้เป็นที่พักผ่อน ตรงกลางน่าจะเป็นรูปปั้นจักรพรรดิทราจันเหยียบสิ่งกลมคล้ายลูกบอลจากภาพ.. ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ ทำให้เรากะได้ว่าของเดิมจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน น้ำจะไหลมาจากภูเขา ผ่านท่อมาลงสระ และไหลขึ้นเป็นน้ำพุ เมื่อยามค่ำคืน มีแสงจันทร์สะท้อนสระน้ำ และผู้คนมานั่งดื่มไวน์รอบสระนี้ ช่างโรแมนติกเสียนี่กระไร และเป็นที่หย่อนใจที่งดงามนัก... เมื่อเราเดินต่อไป เราจะเห็นบ้านของชาวเมืองนี้ สร้างไม่บังกัน เพราะทุกหลังเคารพซึ่งกันและกัน และทุกหลังจะเห็นวิวเมืองทุกบ้าน และเค้าจะนิยมตกแต่งหน้าบ้านด้วยหินโมเสกลวดลายสวยงาม ซึ่งหินโมเสกสมัยนั้นทำมาจากหินจริงๆ มากะเทาะให้เป็นชิ้นส่วนเล็กๆ เพื่อมาเรียงประดับให้หน้าบ้านสวยงาม

วันที่ห้า - วิหารฮาเดรียน Hadrian’s Temple ตุรกี

ถัดมาเป็นวิหารฮาเดรียน Hadrian’s Temple (14) สร้างปลายศตวรรษที่ 2 จักรพรรดิฮาเดรียนได้มาที่เมืองนี้ และบริจาคเหรียญทอง วิหารนี้จึงตั้งชื่อตามเพื่อเป็นเกียรตินั่นเอง ปีที่แล้ว (2015) ได้มีการบูรณะ ทุกอย่างเป็นของเดิม แต่แค่ใช้วิธีขัดทำความสะอาด เราจึงดูเหมือนว่าทำใหม่ เมื่อมองด้านบนของวงกบ เราจะเห็นรูปสลักเมดูซ่า Medusa เปลือยครึ่งท่อน ที่จริงแล้วเมดูซ่าเคยเป็นสาวสวยมาก่อน นางมีหน้าที่ปกป้องดูแลวิหารแห่งเทพีเอเธน่า วันนึงเทพแห่งท้องทะเล นั่นก็คือโพไซดอน Poseidon 

มาที่วิหารแห่งนี้ และได้พบนาง พลันทันทีก็ตกหลุมรักนาง ต่อมาทั้งสองได้มีความสัมพันธ์กันในวิหาร และเทพีเอเธน่าได้มาพบเห็นเข้า และโมโหมาก จึงสาปเมดูซ่าให้เป็นหญิงน่าเกลียดและมีผมเป็นงู ทั้งยังลงโทษเพิ่มอีกว่า ใครก็ตามที่มองตาเธอ ก็จะกลายเป็นหิน นั่นคือสาเหตุว่า ทำไมเวลาสร้างวิหาร หรือสถานที่สำคัญ มักจะมีรูปสลักเมดูซ่าไว้ด้วย เพื่อปกป้องดูแลสถานที่นั้น ...แอบสงสัยว่า แล้วทำไมเทพีเอเธน่าถึงโกรธ และสาปนางเมดูซ่าผู้เดียว แต่ไม่ลงโทษเทพโพไซดอนด้วย... ตอบได้แค่ว่า เพราะทั้งคู่ต่างเป็นเทพด้วยกัน มีเพียงเมดูซ่าเท่านั้นที่เป็นมนุษย์ธรรมดา..จ้า

วันที่หก - Latrina หรือห้องน้ำโบราณ ตุรกี

เราเดินต่อมา ก็พบ Latrina หรือห้องน้ำโบราณ (10) ณ จุดนี้เป็นห้องน้ำสาธารณะ แน่นอนว่าในบ้านแต่ละบ้านจะมีห้องน้ำส่วนตัว แต่ ณ กลางเมืองนี้ ก็มีห้องน้ำสาธารณะ และด้านหลังก็เป็น Roman Bath ห้องอาบน้ำโรมัน ฉะนั้นที่แห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของห้องอาบน้ำโรมัน แต่ห้องน้ำสาธารณะนี้ก็มีแยกชายหญิงนะจ้ะ กล่าวคือตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงเป็นเวลาสาวๆ ใช้ ส่วนหลังเที่ยงไปแล้วเป็นเวลาหนุ่มๆ ใช้จ้า เอิ่ม.... ก็เข้าท่าดีนะคะ ทำธุระไป พูดคุยกันไป เพราะมันไม่มีสิ่งใดกั้นขวางระหว่างกันในการทำธุระส่วนตัวกันเลย... และกลิ่นอีก สงสัยชาวเมืองนี้รักกันมาก จึงไม่รังเกียจกลิ่นธุระของกันและกันเลย.... ช่างเป็นนครแห่งความสุขจริงๆ...และสมัยนั้นเค้ายังสร้างเครื่องมือทุ่นแรงไว้อีก นั่นก็คือ ไม้ล้างก้น เค้าจะสร้างรางน้ำไว้ด้วยค่ะ ไว้ล้างไม้ล้างก้น ซึ่งส่วนปลายมีฟองน้ำติดอยู่ เวลาใช้ทำความสะอาดเสร็จก็จุ่มล้าง แล้วแขวนไว้ใช้ใหม่...เอิ่มๆๆๆๆ และแถมอีกว่า สมัยนั้นผู้คนร่ำรวยมาก ชีวิตมั่งคั่ง ก็กินดื่มกันตลอดเวลา เมื่อกินจนกินไม่ไหว ก็มาล้วงคออ้วกที่ห้องน้ำนี้ แล้วก็กลับไปกินต่อได้อีก... จ้า เอาที่สบายใจจ้า

วันที่เจ็ด - Library of Celsus ห้องสมุดของเซลซุส ตุรกี

แล้วเราก็มาถึง Highlight นั่นก็คือ Library of Celsus ห้องสมุดของเซลซุส (4) สร้างในศตวรรษที่ 2 เซลซุสเป็นชื่อบรรพบุรุษของผู้ก่อตั้ง Ephesus จึงตั้งชื่อห้องสมุดแห่งนี้เพื่อเป็นเกียรติ และที่นี่เอง นับเป็นห้องสมุดใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของโลก อันดับ 1 อยู่ที่อเล็กซานเดรียน ประเทศอียิปต์ ส่วนอันดับ 2 ก็อยู่ในประเทศตุรกี ที่เมืองเพอร์กามัม  เมืองทางเหนือของอิสเมียร์ แต่ไม่มีอะไรเหลือแล้ว นอกจากเสาหินสองต้นสุดท้าย และที่นี่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 และมีม้วนกระดาษเก็บไว้ถึง 20,000 ม้วน ที่นี่เราจะเห็นรูปสลัก 4 ชิ้นด้วยกัน เป็นสัญลักษณ์ทางปรัชญา ตรงกลางใหญ่ คืออาเธ่น่า ..และในตอนที่นักโบราณคดีขุดค้นพบที่แห่งนี้ พวกเค้าเจออุโมงค์ลับ และเห็นว่าปลายด้านนึงของอุโมงค์อยู่ในห้องสมุด และยาวมุดใต้ดินไปโผล่อีกด้าน ขอบอกว่า ไกลพอดูเลยนะคะ ซึ่งเป็นอีกอาคาร นั่นคือที่ที่มีสาวๆ ไว้บริการ เป็นห้องเล็กๆ หลายห้อง.. เมื่อเสร็จกิจธุระ ก็เดินลอดอุโมงค์กลับไปยังห้องสมุดตามเดิม... อ้าว ...ก็บอกที่บ้านว่ามาห้องสมุดนี่นา..

วันที่เเปด - เมืองเอเฟซุสแห่งนี้ สมัยก่อนมีทางเข้าได้จากทางท่าเรือ

และเมืองเอเฟซุสแห่งนี้ สมัยก่อนมีทางเข้าได้จากทางท่าเรือ และเมื่อเข้ามาทางนี้ ก็จะพบกับป้าย ซึ่งมีความหมายลับบางอย่างซ่อนไว้ เป็นรูปรอยเท้าผู้ชาย ความหมายตามสัญลักษณ์ภาพคือ รอยเท้าซึ่งเป็นรอยเท้าผู้ชาย.. ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นผู้ชายก็จงเดินไปตามทางนี้ เมื่อไปทางนี้ คุณจะเจออาคาร และในอาคารนั้น จะมีหญิงงามรออยู่ และถ้าคุณจ่ายเงิน คุณก็จะได้มีความสัมพันธ์กับเธอคนนั้น อืมมม รูปหัวใจอาจแปลว่า ตกหลุมรักกันก็ได้มั้งคะ อิอิ และแปลกใจเพิ่มตรงที่ว่า.. สัญลักษณ์ที่หมายถึงการทำธุระกะหญิงสาวนั้น คือรูปหัวใจ ซึ่งรูปหัวใจดูค่อนข้างใหม่ และจากอักษรภาพโบราณที่เราเคยเห็นกันมา ก็ไม่มีที่ไหนแกะเป็นรูปหัวใจเลยนิ.. ว่าไหมคะ หรือว่าคนยุคปัจจุบันเป็นคนอนุมานเรื่องนี้ขึ้นมาหนอ..และที่ตระหง่านอยู่ข้างหน้าเราทุกคนคือ Theater หรือโรงละครนั่นเอง (2)

วันที่เก้า - โรงละครเมืองโบราณ 3 แบบด้วยกัน แบบกรีก แบบโรมัน และแบบกรีกโรมัน

ในตุรกี ถ้าคุณเข้าไปในเมืองโบราณ คุณจะได้เห็นโรงละคร 3 แบบด้วยกัน แบบกรีก แบบโรมัน และแบบกรีกโรมัน คือแบบผสมกันนั่นเอง ณ ที่ที่เรานั่งอยู่นี่เป็นแบบกรีกโรมัน ....เอาล่ะสิ ที่นี้ แบบกรีก กับแบบโรมันต่างกันอย่างไรล่ะ.. ถ้าเป็นโรงละครที่มีภูเขาอยู่ด้านหลัง หมายถึงโรงละครสร้างตรงทางลาดเขานั่นคือแบบกรีก ส่วนโรมันนั้น สร้างโรงละครได้ทุกที่ ที่ราบก็สร้างได้ เพียงแต่โรมันจะสร้างกำแพงขึ้นมาค้ำที่นั่งไว้ แบบเดียวกับโคลอสเซียม Colosseum ที่โรม นี่คือความแตกต่างหลัก ..ความต่างที่ 2 คือ เมื่อกรีกเข้ามา ณ ที่นี่ เค้าไม่ได้สร้างกำแพงใดๆ และโรมันจะสร้างกำแพง.. ทำไม? เพราะคนกรีกไม่ได้ชมแค่การแสดง แต่เค้าดูความสวยงามของธรรมชาติด้านหน้าด้วย ซึ่งทะเลอีเจียนก็ห่างไปเพียงแค่ 6 กม. เค้าก็จะชื่นชมวิวอันสวยงาม แต่ตอนเริ่มแรกที่นี่เป็นโรงละครกรีก คือสร้างพิงเขา และไม่มีกำแพง แต่เมื่อโรมันเข้ามายึดครอง จึงได้สร้างกำแพงขึ้นมา นั่นทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแบบกรีกโรมัน หรือแบบผสมนั่นเองค่ะ โรงละครนี้ จุคนได้ถึง 20,000 คน และที่นั่งแถวหน้านั้น ก็สร้างสูงขึ้นมา 1.5-2 เมตร เพราะมีการต่อสู้สิงโต และ Gladiator คือคนสู้คน แถมยังมีเหล็กแหลมยื่นออกมา เพื่อกันสิงโตกระโดดขึ้นหาผู้ชม และทุกๆ สัปดาห์ที่นี่มีสิงโตถูกฆ่าในการแข่งขันถึง 50-100 ตัว ซึ่งสิงโตเหล่านี้ขนทางเรือมาจากแอฟริกา และที่ปัจจุบันเรามีสิงโตเหลือน้อย ก็เพราะชาวโรมันฆ่าสิงโตไปนับล้านตัว และตรงด้านข้างของลานแสดง จะมีทางเข้าของสิงโต และห้องสิงโตอยู่ภายใน ส่วนทางเข้าผู้ชนอยู่ด้านบน ..ในส่วนของ Gladiator เหล่าบรรดานักสู้ล้วนเป็นทาส และกติกาคือ ผู้ชนะจะได้รับอิสรภาพ ผู้แพ้ถึงตาย การฆ่ากันตาย เป็นเรื่องปกติมากในสมัยนั้น ฉะนั้นจึงไม่มีการสร้างคุกไว้ โทษถึงตายนั้นง่ายมาก และยังเป็นความสนุกสนานอย่างมากของคนโรมันยุคนั้นด้วย และมีการให้ทาสต่อสู้กับสิงโตอีกด้วย ตายสิค่ะ!

วันที่สิบ - การพาย้อนเวลาไปสู่มหานครเก่าแก่เอเฟซุส

ทั้งสองตอนเป็นการพาย้อนเวลาไปสู่มหานครเก่าแก่เอเฟซุส ประเทศตุรกี.. เป็นแบบฉบับย่อไม่ได้ลงลึกในเชิงประวัติศาสตร์ .. แต่เป็นเวอร์ชั่นมาเที่ยวชมสถานที่ ซึ่งแนะนำจริงๆ ค่ะว่า เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมากๆ ได้เห็นวิวัฒนาการน่าทึ่งของคนยุคก่อนคริสตกาล ยุคที่ยังไม่มีเครื่องทุ่นแรง หรือเครื่องจักรกลใดๆ แต่สามารถสร้างสิ่งก่อสร้างมหึมาได้ ..แนะนำว่าให้ไปตอนช่วงฤดูที่ไม่ใช่ฤดูร้อน (ฤดูร้อนคือ ปลายพฤษภาคม 
– กันยายน) เพราะอากาศจะเย็นสบาย ถ้าไปฤดูหนาว ก็ไม่เป็นปัญหากับชาวไทยเรา เราสนุกกับการใส่เสื้อกันหนาว ที่ปีนึงไม่รู้จะได้หยิบมาใส่กันกี่ครั้ง ส่วนชาวยุโรป..แน่นอนค่ะ เค้าชอบไปกันในฤดูร้อน แดดร้อนที่ตุรกี ร้อนจริงๆ ค่ะ.. ร้อนหัวเหม่งมากมายค่ะ แต่ถ้าใครชอบแดดก็เลือกฤดูตามใจชอบเลยค่ะ
ตลาดทัวร์ แมกกาซีนจะพาไปเที่ยวที่ไหนกันต่อ อย่าลืมติดตามพวกเราไปท่องโลกด้วยกันนะคะ..
เรื่อง และภาพโดย.. ชาขมขนมหวาน