เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

บทความท่องเที่ยว

/

เที่ยวตุรกี เอเฟสซุส Ephesus มหานครโบราณที่ ยิ่งใหญ่ในประเทศตุรกี

เที่ยวตุรกี เอเฟสซุส Ephesus มหานครโบราณที่ ยิ่งใหญ่ในประเทศตุรกี

22

Mar

ตุรกี

เที่ยวตุรกี เอเฟสซุส Ephesus มหานครโบราณที่ ยิ่งใหญ่ในประเทศตุรกี

เจาะเวลาหาอดีต ณ ดินแดนโบราณ... เอเฟซุส (Ephesus) ประเทศตุรกี (ตอน 1: ก้าวเท้าเข้าเมืองกรีก-โรมัน) เอเฟซุส เมืองโบราณแสนมีเสน่ห์แห่งนี้เคยเป็นนครที่รุ่งเรืองมานานแสนนาน ตั้งแต่ยุคกรีก ยุคโรมัน จนช่วงเวลาที่ออตโตมันเข้ามายึดครอง เราจะ ไปย้อนอดีต ท่องตำนานแห่งนี้ด้วยกันค่ะ
นครเอเฟซุส (Ephesus) ตั้งอยู่ระหว่างภูเขา 2 ลูก อันได้แก่ ภูเขาบิวบิว (Bülbül) และภูเขาเล็กๆ ชื่อพานาเลีย (Panayır) เมื่อเราเดินเข้าไปในอาณาเขตเมืองเอเฟซุส เราจะได้เห็นผังของเมืองทั้งหมด ซึ่งทางเข้า และทางออกนั้น อยู่คนละทางกัน เราจะได้เดินชมเมืองโบราณแห่งนี้ อ้อมไปตามเขา และไปออกยังอีกทางหนึ่ง

วันที่หนึ่ง - นครเอเฟซุส (Ephesus) ความรุ่งเรืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ในยุคโรมัน

นครเอเฟซุส (Ephesus) ตั้งอยู่ระหว่างภูเขา 2 ลูก อันได้แก่ ภูเขาบิวบิว (Bülbül) และภูเขาเล็กๆ ชื่อพานาเลีย (Panayır) เมื่อเราเดินเข้าไปในอาณาเขตเมืองเอเฟซุส เราจะได้เห็นผังของเมืองทั้งหมด ซึ่งทางเข้า และทางออกนั้น อยู่คนละทางกัน เราจะได้เดินชมเมืองโบราณแห่งนี้ อ้อมไปตามเขา และไปออกยังอีกทางหนึ่ง เมื่อเราเดินเข้าไปในเขตนครแห่งนี้ .. มองไปรอบๆ เราจะเห็นซากปรักหักพัง ซึ่งจินตนาการได้ถึงความรุ่งเรืองตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ในยุคโรมัน แต่ก่อนหน้านั้น ชาวกรีก ก็เคยอาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ต่อมาในยุคโรมันนับเป็นยุคที่เอเฟซุสเป็นเมืองที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในแถบเอเชียไมเนอร์ ฉะนั้น ผู้คนร่ำรวยในเมืองนี้จึงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม ราคาแพง พวกเค้าอาศัยอยู่ภายในเมือง และไม่อยากให้คนจากที่อื่น หรือคนอาศัยอยู่รอบๆ หรือคนที่สกปรกเข้ามาภายในเมือง พวกเขาจึงสร้าง Roman Bath หรือ โรงอาบน้ำโรมันขึ้น ณ ส่วนทางเข้าอาณาจักร เพื่อให้ใครที่จะเข้ามานั้น จะต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาดเสียก่อน ..สิ่งที่น่าทึ่งคือ ในสมัยนั้น ย้อนกลับไปเป็นพันๆ ปี ผู้คนรู้จักสร้างท่อระบายน้ำ และระบบท่อน้ำแล้ว.. ตามทางเราจะเห็นท่อน้ำ เชื่อมต่อมาที่โรงอาบน้ำนี้ ซึ่งนักโบราณคดีได้ขุดค้นพบ

วันที่สอง - ลานกว้างโล่ง เรียกว่า Agora

ในส่วนพื้นที่ราบถัดมาเป็นลานกว้างโล่ง เรียกว่า Agora เป็นพื้นที่ชาวเมืองเข้ามาพูดคุยกันไม่ใช่เพื่อการค้าขาย จึงเรียกว่าเป็น State Agora ที่พบปะสังสรรค์ของผู้คนในยุคโบราณในประเทศตุรกี เมืองโบราณที่เราเห็นๆ จะนับได้ว่า ไม่เป็นเมืองกรีก ก็เป็นเมืองโรมัน คือชาวกรีกอาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาก่อน และชาวโรมันมาตียึดครองดินแดน.. เอาล่ะสิ เราจะรู้ได้ความแตกต่างอย่างไรหนอ.. และยิ่งน่าสับสนตรงที่ เมื่อโรมันเข้ามาครอบครองแล้ว ก็ถือว่าเป็นเมืองโรมัน แต่พลเมืองยังเป็นคนกรีก และแน่นอนมี 2 ภาษา ฉะนั้น จักรพรรดิโรมันจึงแยกดินแดนปกครองออกเป็นโรมันตะวันตก และโรมันตะวันออก โดยที่ชาวกรีกเดิมอาศัยอยู่ในพื้นที่ตะวันออก และชาวโรมัน และเชื้อชาติอื่นๆ อยู่ทางตะวันตก

วันที่สาม - เมืองโบราณในตุรกีเป็นศิลปะผสมระหว่างกรีกและโรมัน

เมื่อเราเห็นเมืองโบราณต่างๆ ในตุรกีแม้ว่าเป็นเมืองกรีกเดิม และชาวโรมันเข้ามายึดครอง แต่เมื่อใดที่มีตึกรามต้องบูรณะซ่อมแซม ชาวโรมันก็จะซ่อมเสริมในแบบศิลปะของโรมันเอง เราจึงเห็นว่าเป็นศิลปะผสมระหว่างกรีกและโรมันอยู่ในพื้นที่เดียวกัน สิ่งที่สะท้อนให้เห็นในสถาปัตยกรรมต่างๆ และสามารถเป็นตัวอย่างได้ดีคือ เสาหินอ่อนโบราณ (Column) หากร่องของเสาเป็นแนวแหลมเล็ก นั่นคือเสาหินยุคกรีก แต่ถ้าเสาหินมีร่อง ซึ่งความหนาของร่องนั้นประมาณ 1 เซนติเมตร นั่นคือเสาแนวโรมัน และแน่นอนว่าเสาหินร่องแหลมเล็กนั้นมีอายุ 200 ปีเก่ากว่าเสาหินโรมัน ณ ที่นี้ได้นักโบราณคดีได้พยายามเก็บเสาหินไว้ที่ที่เดิมเมื่อพวกเขาค้นพบ แต่ก็ไม่แน่นอนว่าเสาเคยอยู่ตรงนั้นจริงตั้งแต่ยุคโบราณ

วันที่สี่ - เอกลักษณ์และสถาปัตยกรรมเสาหิน

เมื่อเราเดินต่อไปตามทางเดินซึ่งทอดยาวเข้าไปในเมืองโบราณ นั่นคือถนนยาวๆ ซึ่งทั้งสองข้างซ้ายและขวา มีเสาหินตั้งอยู่ และในยุคโบราณก็มีหลังคาไม้สร้างคลุมไว้เพื่อเป็นร่มเงา เพราะยามฤดูร้อนนั้น ดินแดงแห่งนี้ร้อนมากกก ร้อนจนคุณไม่สามารถเดินบนพื้นหินอ่อนได้ ร้อนกว่าเมืองไทยอีกนะจ้ะ และยิ่งกว่านั้น เสาหินสองข้างทางเดินนี้มีความสูงถึงประมาณ 20-21 เมตร โอ้ว มันสูงมาก และคนยุคโบราณก็ได้ใช้วิธีการหลอมเหล็ก หยอดลงไปในรูเสาเพื่อเชื่อมท่อนหินอ่อนแต่ละท่อนให้ต่อมันจนสูงขึ้นไปได้และแข็งแรง เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ จะพบว่า ประเทศตุรกีนั้น มีเมืองโบราณอยู่ประมาณ 300 เมือง แต่มีจักรพรรดิผู้เก่งกล้าโดดเด่นอยู่หนึ่งพระองค์ และนั่นคือ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งอาณาจักรมาเซโดเนีย แต่พระองค์เรียกตัวเองว่าเป็นชาวกรีก พระองค์เข้ามายึดครองดินแดนแถบนี้ แล้วก็สามารถยึดได้เกือบทั้งหมด บางครั้งโดยการต่อสู้ บางครั้งก็ด้วยวิธีทางการทูต

วันที่ห้า - Odeon โรงละครเล็ก หรือที่ประชุมสภา

วันนี้อากาศดีมาก เรามาย้อนอดีต ท่องเมืองโบราณกันในเดือนธันวาคม เดินไกลแค่ไหน ก็ไม่มีเหงื่อค่ะ ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตกันมาอย่างสวย เพราะค่อนข้างหนาว แต่หนาวกำลังสนุก ... เดินต่อมาเรื่อยๆ เราจะมาเจอ Odeon โรงละครเล็ก หรือที่ประชุมสภา (25) มีลักษณะคล้าย Theatre หรือโรงละคร ซึ่งเมืองนี้ก็มี โรงละครใหญ่ แต่อยู่ทางด้านนอก และมีขนาดใหญ่กว่ามากนัก  Odeon นี้ซึ่งถือเป็นห้องประชุมสำหรับคณะรัฐมนตรี เจ้าเมืองและคณะ คุยกันเรื่องกิจการบ้านเมือง และบางครั้งก็ได้ใช้เป็นที่จัดคอนเสิร์ต หรือการแสดงต่างๆ เราจะเห็นได้ว่าแถวที่นั่งหินอ่อนด้านหน้าบางแถว เป็นของดั้งเดิม และที่เหลือเป็นของบูรณะใหม่

วันที่หก - Isis Temple วิหารสร้างถวายแด่จักรพรรดิโรมัน

เดินถัดเข้าเมืองไป จะเป็น Isis Temple วิหารสร้างถวายแด่จักรพรรดิโรมัน ซึ่งจริงๆ แล้วตั้งแต่ยุคกรีก การสร้างวิหารจะสร้างให้กับเทพกรีก เช่น วิหารของฮีร่า วิหารของซุส วิหารของอาเธมิส แต่มาในยุคโรมัน จักรพรรดิมีความศักดิ์สิทธิ์เท่าเทียมกะเทพในยุคกรีก เราจึงเห็นวิหารในเมืองโบราณแถบนี้ไม่น้อยทีเดียว และรวมไปถึงรูปแกะสลักหินต่างๆ ก็มีมากมายเช่นกัน.... และในตอนที่นักโบราณคดีขุดพบที่แห่งนี้นั้น พวกเค้าได้พบรูปปั้นอาเธมิส (Artemis) แต่ได้ย้ายไปไว้ในพิพิธภัณฑ์แล้ว รูปปั้นนั้นนางมีเต้านมถึง 1,000 เต้า และเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์ แต่ทว่า.. เทพีอาเธมิสนั้น นางเคยให้คำมั่นสัญญาที่จะเป็นโสด นางชอบเข้าป่าล่าสัตว์ จึงไม่น่าเข้ากับตำนานเรื่องการเจริญพันธุ์ และการมีเต้านมนับพันรายล้อมนาง เมื่อสืบค้นลงไปจะพบว่ามีผู้เชี่ยวชาญสงสัยเช่นเดียวกัน และมีแนวคิดที่เป็นไปได้ว่า สิ่งที่บางท่านเห็นเป็นเต้านมนั้นอาจไม่ถูกต้อง ที่แท้แล้วอาจเป็นได้ทั้งอัณฑะวัว หรือกระทั่งน้ำเต้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์ในแถบเอเชีย และเชือกตกแต่งที่อยู่รอบตัวนางนั้นก็ประดับด้วยสิงโต เสือดาว แพะ นกอินทรีย์ วัว ซึ่งนางก็ได้ชื่อว่าเป็นเทพีแห่งการล่าสัตว์

วันที่เจ็ด - อุโมงค์ลับกับวิวัฒนาการที่น่าทึ่ง

ระหว่างทางเดินในนครเอเฟซุสนั้น เราจะเห็นเป็นหินก้อนใหญ่มากมายที่นำมาจากภูเขาเพื่อนำมาสร้างเมือง แต่จุดที่น่าสนใจคือ หินบางก้อนสามารถเปิดยกขึ้นมาได้ เพราะใต้ดินแห่งนี้มีระบบท่อน้ำทิ้ง (Draining System) วางเครือข่ายไว้ และยังมีอุโมงค์ลับซ่อนไว้อีกด้วย...ซึ่งเรื่องนี้เป็นวิวัฒนาการที่น่าทึ่งมากๆ ค่ะ.... ส่วนเรื่องอุโมงค์ลับนั้น จะมีไว้เพื่ออะไร เดี๋ยวเราค่อยเฉลยกันในตอน 2 นะคะ ^_^