เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

ข้อมูลท่องเที่ยว

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

533

  วัดคินคะคุจิหรือวัดทองเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น วัดคินคะคุจิ ( Kinkakuji ) หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อของ วัดทองเกียวโตตามความหมายของชื่อภาษาญี่ปุ่นเพราะมีปราสาทคินคะคุจิทองคำ( Golden Pavilion ) ที่มีความงดงามโดดเด่นของศิลปะการสร้างชั้นสูงของญี่ปุ่น วัดแห่งนี้มีชื่อทางการว่าวัดโรกูอนจิ ( Rokuon-ji ) ที่มีความหมายว่าวัดสวนกวาง วัดแห่งนี้มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1397 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของโชกุน Ashikaga Yoshimitsu เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตรใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ      ภายหลังจึงกลายเป็นวัดในปัจจุบัน และด้วยความงดงามตระการตาจึงกลายมาเป็นต้นแบบของวัด Gingakuji หรือวัดเงินที่สร้างในเวลาต่อมาระหว่างช่วงสงครามโอนิน ปีค.ศ.1467–1477 วัดได้ถูกไฟไหม้ แต่ครั้งที่สำคัญที่สุดคือในปี ค.ศ. 1950 ตัว Golden Pavilion ได้ถูกเผาโดยพระชื่อ Hayashi Yoken ซึ่งเป็นผู้มีความวิกลจริต ทำให้ได้รับความเสียหายจนแทบไม่เหลือซาก ดังนั้นวัดคินคะคุจิในปัจจุบันนั้น ก็คือตัวอาคารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1955 โดยยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ และยังได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการใช้แผ่นทองสรรค์สร้างจนได้เป็นความงดงามอย่างที่เห็นในปัจจุบันในปี ค.ศ. 1994 ที่นี่ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับญี่ปุ่นและเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเกียวโต Golden Pavilion     ในปัจจุบันเป็นอาคารไม้ที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เนื่องจากหลังเดิมถูกไฟไหม้ โดยรักษาเอกลักษณ์ รูปแบบโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ เปลี่ยนรูปแบบของหน้าต่าง เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตร ใช้เป็น shariden หรือที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้ถูกนำไปใช้กับวัดคินทอง ความโดดเด่นคือสีทองอร่ามของตัวตำหนักทองคำที่ใช้แผ่นทองคำค่อยๆ รังสรรค์เป็นความสวยงามที่ดึงดูดให้คนมาชมความงามตลอดปี ทางวัดจะมีการจัดการทางเดินให้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายภาพ Golden Pavilion สามารถถ่ายรูปได้งดงามหลากหลายมุม แต่ที่นิยมกันคงเป็นนี้ตรงตัวเรือนทอง ที่นี่จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีหรือจะเป็นฤดูหนาวก็ให้ฟีลเหมือนฝันไปอีกแบบ      ฉะนั้นเมื่อมาเมืองเกียวโตนี่อย่าพลาดมาชมอาคารสีทองเลยนะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น อีกจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวที่เคยไปสัมผัสพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยมาก ก็คือเงาสะท้อนของตัวเรือนสีทอง เมื่อเงากระทบกับผิวน้ำและในแต่ละฤดู วัดแห่งนี้จะให้ความสวยที่แตกต่างกันออกไป ฤดูใบไม้ผลิ    จะมีดอกซากุระ ออกดอกเบ่งบานเต็ม เรียงรายรอบๆตัวเรือนสีทองหลังนี้ ให้บรรยากาศดอกซากุระสีสวยอมชมพูดูสดใส ฤดูใบไม้ผลินักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อยนะคะ เพราะที่วัดคินคะคุจิแห่งนี้ จะมีดอกซากุระออกดอกมากเป็นพิเศษฤดูหนาว    หิมะก็จะตกโปรยปรายสวยมีเสน่ห์เหมือนต้องมนต์ หลุดลอยเข้าไปในวัดหรือหนังซีรีส์ก็ว่าได้ ในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะหนาตกปกคลุมทั่วพื้นที่ ให้ความสวยไปอีกแบบ ส่วนในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี    ท่ามกลางวัดทองแห่งนี้เรียงรายเต็มไปด้วยใบไม้สลับสี ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว สีส้ม สีแดง สีเหลือง ให้บรรยากาศญี่ปุ่นแต่ยังทันสมัยอยู่ เพราะตัวเรือนสีทองเด่นสง่า เพราะความสวยตราตรึงขนาดนี้เลยดึงดูดนักท่องไปสัมผัสเป็นอย่างมาก และภายในวัดทองแห่งนี้ยังมีสถานที่ชงชาด้วยนะคะ สามารถมาเที่ยวชมชงชาดื่มกันได้กันคะ คุ้มค่ากับการมาเยือนอย่างแน่นอนการเข้าชมการเข้าชม มีค่าเข้านะคะ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 500 เยน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นประถมศึกษา จะอยู่ที่ 300 เยน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา  9:00-17:00 น. ค่ะวิธีการเดินทางการเดินทางเฉพาะรถบัส สามารถเดินโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที จากป้ายรถบัส Kinkakuji-mae bus stop (รถบัสสาย 12, 59) และเดิน 5-10 นาทีจากป้ายรถบัส Kinkakuji-michi (รถบัสสาย 101, 205) ตามป้ายบอกทาง หรือสอบถามเจ้าหน้าที่สถานีได้เลย ก็สามารถมาถึงโดยง่าย

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

เที่ยววัดคินคะคุจิหรือวัดทอง แห่งเมืองเกียวโต ( KInkakuji )

408

    วัดคินคะคุจิหรือวัดทองเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น วัดคินคะคุจิ ( Kinkakuji ) หรือที่คนไทยคุ้นเคยในชื่อของ วัดทองเกียวโตตามความหมายของชื่อภาษาญี่ปุ่นเพราะมีปราสาทคินคะคุจิทองคำ( Golden Pavilion ) ที่มีความงดงามโดดเด่นของศิลปะการสร้างชั้นสูงของญี่ปุ่น วัดแห่งนี้มีชื่อทางการว่าวัดโรกูอนจิ ( Rokuon-ji ) ที่มีความหมายว่าวัดสวนกวาง วัดแห่งนี้มีความเก่าแก่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1397 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของโชกุน Ashikaga Yoshimitsu เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตรใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ      ภายหลังจึงกลายเป็นวัดในปัจจุบัน และด้วยความงดงามตระการตาจึงกลายมาเป็นต้นแบบของวัด Gingakuji หรือวัดเงินที่สร้างในเวลาต่อมาระหว่างช่วงสงครามโอนิน ปีค.ศ.1467–1477 วัดได้ถูกไฟไหม้ แต่ครั้งที่สำคัญที่สุดคือในปี ค.ศ. 1950 ตัว Golden Pavilion ได้ถูกเผาโดยพระชื่อ Hayashi Yoken ซึ่งเป็นผู้มีความวิกลจริต ทำให้ได้รับความเสียหายจนแทบไม่เหลือซาก ดังนั้นวัดคินคะคุจิในปัจจุบันนั้น ก็คือตัวอาคารที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1955 โดยยังรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ และยังได้รับการบูรณะอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการใช้แผ่นทองสรรค์สร้างจนได้เป็นความงดงามอย่างที่เห็นในปัจจุบันในปี ค.ศ. 1994 ที่นี่ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโก้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับญี่ปุ่นและเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเกียวโต Golden Pavilion     ในปัจจุบันเป็นอาคารไม้ที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เนื่องจากหลังเดิมถูกไฟไหม้ โดยรักษาเอกลักษณ์ รูปแบบโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ เปลี่ยนรูปแบบของหน้าต่าง เป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตร ใช้เป็น shariden หรือที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ รูปแบบสถาปัตยกรรมนี้ถูกนำไปใช้กับวัดคินทอง ความโดดเด่นคือสีทองอร่ามของตัวตำหนักทองคำที่ใช้แผ่นทองคำค่อยๆ รังสรรค์เป็นความสวยงามที่ดึงดูดให้คนมาชมความงามตลอดปี ทางวัดจะมีการจัดการทางเดินให้ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการถ่ายภาพ Golden Pavilion สามารถถ่ายรูปได้งดงามหลากหลายมุม แต่ที่นิยมกันคงเป็นนี้ตรงตัวเรือนทอง ที่นี่จะมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีหรือจะเป็นฤดูหนาวก็ให้ฟีลเหมือนฝันไปอีกแบบ      ฉะนั้นเมื่อมาเมืองเกียวโตนี่อย่าพลาดมาชมอาคารสีทองเลยนะคะ ไม่งั้นถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น อีกจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวที่เคยไปสัมผัสพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยมาก ก็คือเงาสะท้อนของตัวเรือนสีทอง เมื่อเงากระทบกับผิวน้ำและในแต่ละฤดู วัดแห่งนี้จะให้ความสวยที่แตกต่างกันออกไป ฤดูใบไม้ผลิ    จะมีดอกซากุระ ออกดอกเบ่งบานเต็ม เรียงรายรอบๆตัวเรือนสีทองหลังนี้ ให้บรรยากาศดอกซากุระสีสวยอมชมพูดูสดใส ฤดูใบไม้ผลินักท่องเที่ยวจะเยอะหน่อยนะคะ เพราะที่วัดคินคะคุจิแห่งนี้ จะมีดอกซากุระออกดอกมากเป็นพิเศษฤดูหนาว    หิมะก็จะตกโปรยปรายสวยมีเสน่ห์เหมือนต้องมนต์ หลุดลอยเข้าไปในวัดหรือหนังซีรีส์ก็ว่าได้ ในช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะหนาตกปกคลุมทั่วพื้นที่ ให้ความสวยไปอีกแบบ ส่วนในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี    ท่ามกลางวัดทองแห่งนี้เรียงรายเต็มไปด้วยใบไม้สลับสี ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว สีส้ม สีแดง สีเหลือง ให้บรรยากาศญี่ปุ่นแต่ยังทันสมัยอยู่ เพราะตัวเรือนสีทองเด่นสง่า เพราะความสวยตราตรึงขนาดนี้เลยดึงดูดนักท่องไปสัมผัสเป็นอย่างมาก และภายในวัดทองแห่งนี้ยังมีสถานที่ชงชาด้วยนะคะ สามารถมาเที่ยวชมชงชาดื่มกันได้กันคะ คุ้มค่ากับการมาเยือนอย่างแน่นอนการเข้าชม   การเข้าชม มีค่าเข้านะคะ ผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 500 เยน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและชั้นประถมศึกษา จะอยู่ที่ 300 เยน เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา  9:00-17:00 น. ค่ะวิธีการเดินทาง   การเดินทางเฉพาะรถบัส สามารถเดินโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที จากป้ายรถบัส Kinkakuji-mae bus stop (รถบัสสาย 12, 59) และเดิน 5-10 นาทีจากป้ายรถบัส Kinkakuji-michi (รถบัสสาย 101, 205) ตามป้ายบอกทาง หรือสอบถามเจ้าหน้าที่สถานีได้เลย ก็สามารถมาถึงโดยง่าย

ทำความเข้าใจวัฒนธรรมและค่านิยมของชาวญี่ปุ่น

ทำความเข้าใจวัฒนธรรมและค่านิยมของชาวญี่ปุ่น

240

   ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งที ก็ควรรู้จักวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นไว้สักหน่อย จะได้กลมกลืนและไม่ขายหน้าเรานั่นเอง ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทยที่มักจะหาโอกาสไปท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ก่อนเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น เราควรเรียนรู้วัฒนธรรมที่สำคัญของชาวญี่ปุ่น เพื่อช่วยให้เราเที่ยวได้อย่างสนุกเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำอะไรผิดให้ต้องอายได้ การคุยโทรศัพท์   จริงๆแล้ววัฒนธรรมญี่ปุ่น ห้ามคุยโทรศัพท์ในร้านร้านอาหาร หรือบนรถไฟรถเมล์ หรือถ้าหากจำเป็นจริงๆให้พูดสั้นๆ และรีบวางสาย เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนรอบข้าง หากนั่งรถไฟ อาจไปคุยที่ตรงข้อต่อขบวนหรือจุดที่จัดไว้ อย่าลืมปิดเสียงไลน์หรือเสียงเตือนข้อความ ถ้าเล่นเกมในโทรศัพท์ก็ควรใส่หูฟังด้วยนะคะตรงต่อเวลา   วัฒนธรรมญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเวลามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง รถไฟ รถบัส ก็จะมาถึงตรงเวลาเป๊ะๆ เพื่อนๆ สามารถจัดการเวลาในการเดินทางได้สบายใจ หรือถ้ามีนัดกับชาวญี่ปุ่นล่ะก็ อย่าเลทเป็นอันขาดนะคะ เพราะจะถือว่าเป็นการเสียมารยาทและไม่ให้เกียรติค่ะขึ้นบันไดเลื่อน   การขึ้นลงบันไดเลื่อนตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะยืนชิดซ้ายหรือชิดขวาไปแล้วแต่ธรรมเนียมปฏิบัติในแต่ละท้องถิ่นค่ะ และจะไม่ยืนอยู่ตรงกลางบันไดนะคะ เพราะถือเป็นการเกะกะผู้อื่น ที่เร่งรีบ ดังนั้นถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วต้องใช้บันไดเลื่อน อย่าลืมสังเกตคนด้านหน้าว่ายืนกันฝั่งซ้ายหรือขวา และหลีกเลี่ยงไม่ยืนขวางทางหรือตรงกลางของบันไดเลื่อนเก็บหรือจับดอกซากุระ   วัฒนธรรมญี่ปุ่นสุดคลาสสิกเมื่อนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมซากุระ คือ “ห้ามแตะต้องต้นซากุระ” เด็ดขาดนะคะ ข้อนี้ถือเป็นกฎสำคัญที่ซีเรียสเลยค่ะ เพราะการที่นักท่องเที่ยวมากมายต่างจับ หรือเด็ดดอกซากุระนั้น อาจเป็นสาเหตุให้ต้นซากุระบอบช้ำ และเฉาตายได้ส่งเสียงความอร่อยเราส่งเสียงดังได้ในขณะรับประทานอาหารค่ะ ถือเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นเลยทีเดียวที่ถือว่าการกินเสียงดัง หมายถึง อาหารนั้นอร่อยค่ะ โดยเฉพาะเมื่อเพื่อน ๆ ซดน้ำซุปเสียงดัง ๆ พนักงานในร้านยิ่งปลื้มปริ่มว่านั่นคือการส่งเสียงความอร่อยให้ร้านได้ยินนั่นเองการใช้ตะเกียบ   ห้ามปักตะเกียบลงในแนวดิ่งไปในถ้วยข้าวนะคะ เพราะจะคล้ายกับการปักธูปไหว้ศพ และห้ามส่งอาหารจากตะเกียบสู่ตะเกียบ เพราะว่าคนญี่ปุ่นจะใช้ตะเกียบคีบกระดูกที่เผา แล้วส่งต่อๆ กันตอนทำพิธีเก็บกระดูกเท่านั้น ดังนั้นถ้าต้องการจะตักอาหารให้กัน ก็ควรคีบแล้ววางไว้ในจานของเพื่อนไปเลยค่ะรอยสักกับการแช่ออนเซ็น   หากใครมีรอยสักแล้วจะเข้าไปอาบน้ำพุร้อนออนเซ็น อย่าลืมเช็คดีๆ นะคะว่าออนเซ็นแห่งนั้น เขาห้ามคนมีรอยสักเข้าใช้หรือเปล่า เพราะที่ญี่ปุ่นมีออนเซ็นหลายแห่งไม่อนุญาตให้คนมีรอยสักใช้บ่อน้ำพุร้อนนะคะ และถ้าเกิดเผลอและลืมตรวจสอบละก็ อาจจะทำให้คุณถูกตำหนิอย่างตรงไปตรงมาต่อหน้าผู้อื่นได้แอบถ่ายรูปผู้อื่น   คำเตือนสำหรับหนุ่ม ๆ ห้ามแอบถ่ายรูปสาว ๆ ญี่ปุ่น โดยเฉพาะแบบเข้าประชิดตัวเกินไป เพราะนี่ไม่ใช่แค่วัฒนธรรมญี่ปุ่นทั่วไปแต่ทางญี่ปุ่นมีกฎหมาย พรบ.สิทธิส่วนบุคคล ห้ามแอบถ่ายรูปคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตค่ะ แต่หากจะถ่ายแบบวิวกว้าง ๆ แล้วมีสาว ๆ ติดอยู่ในภาพวิวนั้นโดยไม่ได้เจาะจง ก็ถือว่าทำได้ไม่มีปัญหาค่ะเข้าคนแรก ปิด-เปิด ลิฟต์   เวลาโดยสารลิฟต์ผู้ที่เข้าไปคนแรกควรกดเปิดประตูให้ผู้โดยสารคนอื่น ๆ เข้ามาในลิฟต์ และกดให้คนอื่น ๆ ออกจากลิฟต์ไปก่อน หากไปที่ชั้นเดียวกัน เรื่องนี้ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวนะคะ แต่ให้นึกไว้เสมอว่าหากคุณเป็นคนแรกที่เข้าลิฟต์ที่ญี่ปุ่นล่ะก็ คุณคือคนที่ต้องกดปิด-เปิดประตูลิฟต์ให้คนอื่นตามวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั่นเองค่ะญี่ปุ่นไม่ต้องให้ทิป   เพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่มเติมนะคะ เป็นอีกเรื่องที่นักท่องเที่ยวหลาย ๆ ชาติทำเป็นปกติ แต่ไม่ใช่กับชาวญี่ปุ่นค่ะ เพราะวัฒนธรรมญี่ปุ่นจะถือเรื่องการบริการที่ทำด้วยใจ ดังนั้นพนักงานในญี่ปุ่นจะไม่รับทิปนะคะ หรือถ้าคุณวางเงินไว้บนโต๊ะ พนักงานก็อาจจะวิ่งตามนำเงินมาคืนคุณอีกด้วยค่ะ 

รู้ไว้ไม่เสียหาย 10 ประโยคที่ต้องใช้ เมื่อไปญี่ปุ่น

รู้ไว้ไม่เสียหาย 10 ประโยคที่ต้องใช้ เมื่อไปญี่ปุ่น

270

    สวัสดีค่ะ วันนี้แอดจะมากระซิบบอก ภาษาญี่ปุ่นที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน รู้ไว้ไม่เสียหายแต่ยังแสดงถึงความใส่ใจละเอียดอ่อน การศึกษาวัฒนธรรม  การให้เกียรติประเทศญี่ปุ่นด้วย นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยว ส่วนมากจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่บทสนทนาส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นเมื่อเจอต่างชาติจะทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อน ถ้าอีกฝ่ายตอบเป็นภาษาอังกฤษเค้าก็จะพูดอังกฤษกลับมา แต่เมื่อเราเป็นต่างชาติเราก็อยากจะรู้ศัพท์ภาษาของเขาไว้บ้าง เวลาได้ยินจะได้เข้าใจและตอบกลับได้บ้าง ถึงเล็กน้อยก็ยังดี และเอาไว้ทักทายคนญี่ปุ่นโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย ก็จะได้ความจริงใจ ความน่ารักในสำเนียงภาษานั่นเอง การใช้ภาษาประจำประเทศ เป็นการผูกมิตรสัมพันธ์ที่ดีงาม    ภาษาที่ต้องใช้บ่อยและเจอบ่อยๆ เมื่อเราไปญี่ปุ่นก็จะมีคำยอดฮิต อย่างเช่น ( ฮาจิเมมาชิเตะ แปลว่า ยินดีที่ได้รู้จัก ) เป็นศัพท์ยอดฮิตเมื่อชาวญี่ปุ่นพบเจอผู้อื่น วันนี้แอดก็จะมาแนะนำคำพูดที่จะได้ใช้เมื่อไปญี่ปุ่น ให้ทุกคนได้ท่องจำสัก 10 ประโยค เป็นคำศัพท์ที่ทุกคนจะต้องได้เจอแน่ๆ มีคำไหนไปดูกันเลยโอฮาโยโกไซมัส แปลว่า สวัสดีตอนเช้า ใช้ได้เมื่อเจอกันตอนเช้า ซาโยนารา แปลว่า ลาก่อน ใช้เมื่อต้องการกลับ แต่เป็นการกลับที่ยาวนาน เช่นลากลับบ้านต่างประเทศโอซากินิ ชิตสึเรชิมัส แปลว่า ขอตัวกันก่อน ใช้เมื่อเสร็จธุระ หรือขอออกจากสถานที่นั้นก่อนโอยาซุมินาไซ แปลว่า ราตรีสวัสดิ์ ใช้เมื่อร่ำลาแยกย้ายเข้านอนอิรัชไชมาเซ แปลว่า เชิญเข้ามาเลย  เป็นคำที่เราจะได้ยินบ่อย เมื่อเราไปร้านร้านขายของฝาก อาริกาโตโกไซมัส แปลว่า ขอบคุณ เป็นคำที่ใช้บ่อย และเจอบ่อยที่สุดเมื่อไปญี่ปุ่น ไม่ว่าเขาหรือเราก็ต้องพูดคำว่า อาริกาโตโกไซมัส หรือขอบคุณนั้นเองเคี่ยววะ โม่ อีคะนะเขี่ย แปลว่า วันนี้ฉันต้องไปแล้วนะ ใช้เมื่อต้องการที่จะขอตัวไปที่อื่น คอนนิจิวะ แปลว่า สวัสดี ใช้เมื่อต้องการทักทาย เป็นคำยอดฮิตเมื่อเจอหน้ากันโอะเก็งขิเดสก๊ะ แปลว่า คุณสบายดีไหม เป็นคำถามยอดฮิตเช่นกัน ไว้ใช้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันมาตะไออี มะซโย แปลว่า ไว้พบกันใหม่ เป็นคำที่ใช้ในการจากลา ของวันนั้น แต่จะพบกันใหม่   ประโยคเหล่านี้สามารถได้ยินบ่อยๆ ที่ประเทศญี่ปุ่น เห็นไหมล่ะว่าภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมยังน่ารักมากด้วย คำบางคำนั้นเราก็ได้ยินบ่อยพอคุ้นหูกันอยู่บ้างแล้ว การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อพูดคุยกับเจ้าของภาษา ถือว่าเป็นการใส่ใจแสดงถึงการเคารพที่ยอดเยี่ยม รับรองว่าคุณจะได้ไมตรีและความผูกพันจากคนญี่ปุ่นได้รอยยิ้มจากเพื่อนร่วมโลกที่แสนอบอุ่นแน่นอน และวันนี้แอดต้องขอตัวลาไปก่อนนะคะ ซาโยนารา มาตะไออี มะซโย

ย่านอันตรายในญี่ปุ่น ย่านคาบูจิโก (Kabukicho)

ย่านอันตรายในญี่ปุ่น ย่านคาบูจิโก (Kabukicho)

610

   เราเห็นด้านสวยงามกันมาเยอะแล้ว วันนี้ลองมาดูด้านมืดบ้าง ย่านที่ชื่อเสียงโด่งดังว่าอันตราย อันตรายจริงไหมไปดูกันค่ะ ไปเที่ยวญี่ปุ่นทุกคนต้องนึกถึงสถานที่สวยๆงามๆ อาหารของกินอร่อยๆกันใช่ไหมค่ะ แต่ญี่ปุ่นก็มีย่านที่น่ากลัวเช่นกัน แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังไม่อยากจะย่างกลายเข้าไปเลย เช่น คาบูกิโจ เป็นย่านและแหล่งกำเนิดของยากูซ่า คาบูกิโจเป็นย่านโคมแดง แสงสี กลางคืน ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีร้านอาหารคาราโอเกะ คลับ ผับ บาร์ลับๆเยอะแยะมาก เพราะเหล้าเยอะจะดึงดูดนักดื่ม นักเที่ยวกลางคืน มารวมตัวกันที่จุดนี้ แถมยังมีเจ้าถิ่นที่หน้ากลัว มีผู้คนแปลกหน้า วัยรุ่น และพวกอันธพาลทั้งหลาย ครองย่านนี้ไปแล้ว น่ากลัวมากเรียกได้ว่าเห็นหน้าไม่รู้ใจ    ซึ่งอย่างชาวเราๆชอบดูนกชมไม้ แตกต่างกันมากใช่ไหมล่ะ อย่าหลงเข้าไปดีที่สุด เพราะเกิดอะไรขึ้นมาบ้างอย่างแม้แต่ตำรวจเองยังช่วยไม่ได้ นานๆขับรถมาที แต่ก็ทำทีมาตรวจขับผ่านละก็ไป เป็นย่านราตรีที่น่ากลัวจริงๆ ถ้ายังไม่รู้วิธีเอาตัวรอดอย่าไป ถึงแม้ญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อว่ามีความปลอดภัยสูง แต่ขอให้เว้นย่านนี้ไว้สักย่านนึง เป็นสถานที่ที่รวมความสีเทาอยู่เยอะ ทั้งยากูซ่า และคนต่างชาติที่ทำงานอย่างผิดกฏหมาย รวมถึงธุรกิจสีเทาอยู่ในย่านนี้ทั้งหมด ใครไปเที่ยวก็ระวังถูกยัดสิ่งของผิดกฏหมาย ระวังถูกกักตัวโดยไร้เหตุผล โดนหาเรื่องจากนักเลงเจ้าถิ่น โดนขายของแพงเกินราคาจริงให้ ถ้าหลงเดินเข้าไปอย่าไปเผลอจ้องหน้าใครแบบนานๆละ อย่าจะมีเรื่องทะเลาะกันก็ได้ ผู้หญิงที่ชอบคนเดียว ระวังการเดินคนเดียวยามค่ำคืน ถ้าผิดสังเกตว่ามีคนตาม พยายามเดินหากลุ่มนักท่องเที่ยวที่ดูน่าไว้ใจ อยู่กับคนกลุ่มหรือขอความช่วยเหลือ ขอตามไปด้วยจนกว่าจะรู้ปลอดภัย อย่าลืมบันทึกเบอร์ตำรวจหรือจำเบอร์คนสนิทที่ติดต่อง่ายไว้ด้วยนะคะ แต่ย่านนี้ก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะหมด ยังมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม แหล่งช้อปปิ้ง มากมายตอนรับนักท่องเที่ยว นักช้อป อยู่เยอะ ส่วนใครที่อยากไปเห็นสถานที่ แนะนำให้ไปกลางวัน หรือใกล้ค่ำพอค่ะ หลีกเลี่ยงเวลากลางคืนได้ยิ่ง ยิ่งดึกยิ่งไม่ปลอดภัย หลักๆ 3 ย่านที่น่ากลัวที่สุดๆ คือควรหนีให้ไกล คามากาซากิ, โอซาก้า Kamagasaki (หรือที่เรียกว่า Airinchiku)    เป็นชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่อยู่อาศัยของแรงงานเด็กจำนวนมากที่ไม่มีที่อยู่ถาวร แต่อาศัยอยู่ในบ้านที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว จะเรียกว่าสลัมของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Kamagasaki เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติและความที่มีการปรับปรุงเป็นสถานที่ช็อปปิ้งแบบโอเพ่นแอร์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งใช้ราคาที่พักราคาประหยัดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกเช่นกัน แต่ชาวเมืองโอซาก้าจะหลีกเลี่ยงสถานที่นี้ยามค่ำคืนและยืนยันว่ามันอันตราย   Kamagasaki มีประวัติของการจลาจลที่มีขนาดใหญ่ (การประท้วงต่อต้านการกระทำทารุณโดยตำรวจ) หลายกลุ่มอาชญากรรมที่รู้จักกันดีมีสำนักงานอยู่ในพื้นที่นี้ Kamagasaki เป็นประเภทของพื้นที่ที่ตำรวจไม่ได้เข้ามาตรวจ นัยเหมือนว่าจะรำคาญที่จะบังคับใช้กฎหมายกับอาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นแทบทุกชั่วโมง สุสุกิโน่ ซัปโปโร (Susukino)    Susukino ในซัปโปโรถูกสร้างเป็นย่านโคมแดงในปี1871 เพื่อช่วยดึงดูดผู้คนให้มาบุกเบิกภาคเหนือของญี่ปุ่น วันนี้เป็นย่านโคมแดงใหญ่อันดับสองของประเทศ สุสุกิโน่เหมือนย่านโคมแดงที่ดึงดูดคนร้ายและคนแปลก ๆ ในทุกๆระดับ อย่างไรก็ตาม Susukino ยังเป็นที่ตั้งของร้านอาหารและธุรกิจปกติเป็นจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนี้ยังเป็นที่จัดงานเทศกาลต่างๆของซัปโปโร ซึ่งรวมถึงเทศกาลหิมะซัปโปโร ไม่มีเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงพื้นที่แห่งนี้ (ในความเป็นจริงถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักของซัปโปโร) โปรดทราบว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในญี่ปุ่นละกันนะคะชินเซไก, โอซาก้า   ในปี 1912 Shinsekai เป็นย่านที่ทันสมัยที่สุดในญี่ปุ่น มันถูกจำลองตามถนนในกรุงปารีสและรวมถึงสวนสนุกขนาดใหญ่ที่ทันสมัย (Luna Park) ไว้ Luna Park ได้เกิดไฟไหม้ที่น่าสงสัยในไม่ช้า หลังจากที่สร้างเสร็จ และปิดตัวลงในปี 1923 บริเวณนี้ยังมีบรรยากาศเฉลิมฉลองในวันนั้นอยู่บ้าง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโอซาก้า เต็มไปด้วยร้านอาหารที่มีเสน่ห์และราคาไม่แพงร้านขายของที่ระลึกและร้านปาจินโกะ (pachinko) แม้จะมีความนิยมกับนักท่องเที่ยวแต่บางคนที่อาศัยอยู่ในโอซาก้ายืนยันว่าย่านนี้เป็น ย่านอันตรายในญี่ปุ่น    นี่ก็เป็นตัวอย่างคราวๆย่านที่อันตราย ของประเทศญี่ปุ่น รู้ไว้ก็ไม่เสียหายอะไรถ้าเผลอหลงเข้าไปแล้วเราไปเราจะได้ทำตัวถูก และใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่ถ้าย่านไหนไม่เหมาะสมกับเราก็ควรหนีให้ไกลดีกว่านะคะ จะได้เที่ยวอย่างไร้ความกังวล

แนะนำอันซีนที่เที่ยวในญี่ปุ่น ย่านโดทงโบริ ( Dotonbori )

แนะนำอันซีนที่เที่ยวในญี่ปุ่น ย่านโดทงโบริ ( Dotonbori )

229

   สวัสดีค่ะ วันนี้แอดก็จะมาแนะนำสถานที่ยอดฮิต ย่านดังของโอซาก้า นั้นก็คือ ย่านโดทงโบริ โดทงโบริเป็นย่านที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวและนักสร้างสรรค์ นักดื่ม บริเวณนี้จึงเต็มไปด้วยป้ายไฟนีออน ผับ บาร์ และร้านค้าบริการอาหารขึ้นชื่อของท้องถิ่น ให้ผู้คนที่แวะเวียนไปมา ได้สัมผัสชีวิตยามค่ำคืนของเมืองโอซาก้าแห่งนี้ โดทงโบริเป็นย่านยอดฮิตของวัยรุ่นและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวยามราตรี จะต้องมารวมกันที่นี่     ต้นกำเนิดของย่านโดทงโบริย้อนกลับไปได้ถึงช่วงต้นยุค 1600 เมื่อนักธุรกิจท้องถิ่นได้ขยายตลิ่งแม่น้ำโดทงโบริให้กว้างขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการค้าให้มากขึ้น ภายใน 50 ปีหลังจากนั้น ย่านนี้ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มีโรงละครคะบุกิถึง 6 โรง และโรงละครบุนระคุ (หุ่นเชิด) ถึง 5 โรงด้วยกัน อีก 400 ปีต่อมา ย่านนี้ก็ยังคงเป็นศูนย์กลางความบันเทิงซึ่งดึงดูดทั้งผู้คนในท้องถิ่นและนักเดินทางจากต่างถิ่นอย่างมาก แผงป้ายไฟนีออนขนาดใหญ่หน้าร้านค้าและอาคารต่างๆ ในโดทงโบริแสดงให้เห็นถึงความทันสมัย     แถบนี้ทั้งแถบยังคงบรรยากาศแบบย้อนยุค แต่ยังล้ำอนาคตนี้ไว้ ซึ่งลงตัวกับนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหากลิ่นอายเมืองใหญ่ของญี่ปุ่นในแบบที่คุ้นตา ทั้งริม 2 ฝั่งของแม่น้ำโดทงโบรินั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมายสำหรับทั้งกินและดื่ม เมื่อเดินไปตามทางเดินก็จะพบกับร้านอาหารคานิโดระกุ ซึ่งเหนือทางเข้าจะมีการจัดแสดงปูยักษ์ไว้อย่างโดดเด่นสวยงาม มีซุ้มขายราเม็งกลางแจ้งก็ตั้งกระจายกันอยู่ทั่วพื้นที่ ส่งกลิ่นหอมโชยไปตามลม ชวนน้ำลายสอท้องร้องจ๊อกๆกันเป็นแถว เวลายามคำ่คืนเหมาะกับการมาที่ย่านโดทงโบริมากที่สุด เมื่อมีแสงไฟส่องสว่างและผู้คนครื้นเครง หากต้องการทานของว่างเบาๆ ก็อย่าลืมลิ้มลองโอโคโนมิยากิ หรือพิซซ่าญี่ปุ่น ชื่อดังของโอซาก้า รวมถึงทาโกะยากิ ของว่างที่ทำจากแป้งสูตรพิเศษปั้นเป็นลูกกลมสอดไส้ปลาหมึก หากต้องการสัมผัสประสบการณ์อาหารและเครื่องดื่มในแบบรรยากาศที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น ก็ขอแนะนำให้ไปร้านอิซะกะยะ หรือหากต้องการสังสรรค์เต้นรำตลอดคืน ก็มุ่งหน้าไปยังคลับใดคลับหนึ่งในบริเวณใกล้เคียงได้  หากใครต้องการไปเที่ยวย่านนี้ อย่าลืมหาที่พักใกล้เคียงไว้ด้วยนะคะ เพราะคงจะได้เที่ยวเพลิดเพลินอีกหลายวัน     แถวย่านนี้ก็มีห้างสรรพสินค้าให้ได้เที่ยวช้อปปิ้งกันอยู่หลายห้างดังอีกด้วยถูกใจสาวๆแน่นอน เพราะห้างดังย่านนี้มีสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังมากมาย และเครื่องประดับเสื้อผ้ากระเป๋าอื่นๆอีกด้วย บอกเลยว่าใครจะไปย่านแห่งนี้ กระเป๋าตังค์ต้องหนานิดนึง เพราะมีของที่น่าตื่นตาตื่นใจ ให้เราได้ควักกระเป๋าตลอดเวลา สำหรับสายกินขอแนะนำที่นี่เลย ชิมปูให้อิ่ม! ที่ Kani Doraku ป้ายร้านที่มีชื่อเสียงพอๆ กับป้ายกุลิโกะคือ "Kani Doraku (คานิโดระขุ)" ติดๆ กับ สะพานเอบิสุ ที่เราทุกคนจะต้องสะดุดตากับปูขนาดใหญ่ที่ขยับขาไปมาได้ ที่นี่เป็นสาขาใหญ่ของร้านอาหารที่ขายปูเป็นหลัก และมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ สามารถเพลิดเพลินกับเมนูหลากหลายที่ใช้ปูเป็นส่วนประกอบได้ เมนูเด็ดก็ต้อง Kanisuki (สุกี้ยากี้เนื้อปู) ราคา 5,000 เยน (ไม่รวมภาษี) มีปูย่างเตาถ่านขายด้วยนะคะ แอพแนะนำที่นี่แอดชอบมาก ไปญี่ปุ่นใครไม่รู้จะไปไหนแอดขอให้ที่นี่เป็นที่แรกเลยละกัน ย่านโดทงโบริ (Dotonbori) วิธีการเดินทาง    จากสถานี Namba (รถไฟใต้ดินสาย Midosuji Line, Sen-Nichimae Line หรือ Yotsubashi Line) ทางออก Exit 14 เดินประมาณ 3 นาที    จากสถานี Osaka-Namba (รถไฟสาย Hanshin หรือ มาลงที่สถานี Kintetsu)  เดินประมาณ 4 นาที    จากสถานี Namba (รถไฟสาย Nankai) เดินประมาณ 10

สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่นดั่งเดิม เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่นดั่งเดิม เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

446

   เมืองออนเซ็นคุโรคาวะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ( ภูเขาเอโซะ ) ในจังหวัดคุมาโมโต้ เป็นเมืองออนเซ็นที่ฮอตฮิตตลอดกาลของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ได้รับการนิยมจากนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นเองจะชอบการแช่ออนเซ็นเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้    คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการได้แช่ออนเซ็น เหมือนร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การรักษาร่างกายให้อบอุ่นทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุต่างๆได้เต็มที่อีกด้วย เพราะการแช่ออนเซ็นของชาวญี่ปุ่นนั้น มีมายาวนานตั้งแต่ยุคสมัยญี่ปุ่นโบราณสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เมืองออนเซ็นคุโรคาวะที่มีออนเซ็น แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นมีที่สำหรับแช่ออนเซ็นให้เห็นอีกมากมากมาย แต่เมืองออนเซ็นโรคาวะแห่งนี้จะมีเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความมีเสน่ห์ที่ลงตัวของเมืองออนเซ็นคุโรคาวะ จากบรรยากาศโดยรอบได้รักษาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่คงความเก่าแก่ไว้เป็นอย่างดี เพียงแค่ได้ก้าวขาเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เหมือนหลุดไปอยู่ยุคบ้านเก่าแก่ญี่ปุ่น เพราะโซนแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็น ตึก อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม เน้นสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมโบราณทั้งหมด    นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นเหมือนชนบทย้อนยุค ที่มีธรรมชาติจากต้นไม้สีเขียวสลับกับใบไม้เปลี่ยนสี มีลำธารแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นชุ่มฉ่ำออกจะชื้นๆ จึงเมาะกับการมาแช่ออนเซ็นอย่างมาก ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงามมากใน ช่วงเดือนพฤศจิกายน และถ้าอยากให้เข้ากับบรรยากาศของเมืองออนเซ็นแห่งนี้ควรเปลี่ยนใส่ชุดยูกาตะและรองเท้าเกี๊ยะแบบญี่ปุ่น ก็จะยิ่งเข้าถึงบรรยากาศญี่ปุ่นแบบย้อนยุคเข้าไปอีก การแต่งกายด้วยชุดยูกาตะ   ชุดยูกาตะจะมีไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวและแขกผู้มาเยือนออนเซ็นแห่งนี้ โดยทางโรงแรมและสถานที่พักจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว สายถ่ายรูปไม่ควรพลาด ชุดยูกาตะนี้สามารถใส่ไปเดินถ่ายรูปเที่ยวตามหมู่บ้านได้เลย หรือใส่ไปร้านอาหารก็ได้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งสีสันของที่นี่ ตามตรอกซอกซอยของคุโรกาวะเรียงรายไปด้วยเรียวกัง โรงอาบน้ำสาธารณะ ร้านค้าและคาเฟ่ที่สวยงาม และศาลเจ้าเล็กๆ และสะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำไปยังทางเข้าเรียวกัง ไม่เพียงสำหรับแขกผู้เข้าพักที่เรียวกังสามารถแช่ออนเซ็นได้ไม่จำกัด    สำหรับผู้ที่เดินทางแบบไป-กลับ ก็สามารถใช้บริการแช่ออนเซ็นได้ด้วย บัตรผ่านไม้ (เทกาตะ) จำหน่ายในราคา 1,300 เยน (ประมาณ 320 บาท) โดยสามารถเข้าใช้บริการโรงอาบน้ำของเรียวกัง 3 แห่งได้ตามใจชอบ และใช้ได้นานถึง 6 เดือน มีให้บริการที่ศูนย์ข้อมูลและเรียวกังที่เข้าร่วมกว่า 20 แห่ง แนะนำ หนึ่งในโรงอาบน้ำริมแม่น้ำที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น โรงอาบน้ำกลางแจ้งของ Yamamizuki ตั้งอยู่ในป่าติดกับแม่น้ำบนภูเขาที่งดงาม นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำในร่ม บ่อน้ำทั้งหมดแยกเพศหญิงเพศชายอัตราค่าบริการ   ค่าบริการแช่ออนเซ็น 600 เยน (ประมาณ 150 บาทต่อคน) ค่าที่พัก เริ่มต้น 19,000 เยนต่อคน (ประมาณ 4,560 บาทต่อคน)  รวมอาหารเช้าและเย็น ช่วงเวลาทำการเปิด-ปิด 8.30 – 21.00 น.การเดินทาง   รถบัสด่วน มีบริการรถบัสด่วนวิ่งตรงวันละ 2 รอบระหว่างฟุกุโอกะ (สถานีฮากาตะ ศูนย์รถบัสเทนจิน และสนามบินฟุกุโอกะ) และคุโรคาวะ ออนเซ็น การเดินทางเที่ยวเดียวใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง ราคา 3,470 เยน (ครอบคลุมบัตร Sun Q Pass บัตรโดยสารรถบัสสำหรับโดยสารรถประจำทางส่วนใหญ่ในคิวชูได้อย่างไม่จำกัด)    รถไฟ เนื่องจากคุโรคาวะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ การเดินทางด้วยรถไฟใกล้สุดคือมาลงสถานี Hita โดยรถไฟด่วนพิเศษตรง (75 นาที ประมาณ 3,000 เยน ต่อเที่ยว) หรือโดยรถไฟท้องถิ่นผ่านคุรุเมะ (100 นาที 1,680 เยน) ทั้งคู่ครอบคลุม JR pass จากนั้นต่อรถบัสจากสถานี Hita มาลงคุโรคาวะ ใช้เวลา 70 นาที ราคา 1,880 บาท รถบัสวิ่งวันละ 2 เที่ยวต่อวัน

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

606

   เที่ยวไฮไลท์ของญี่ปุ่น คงต้องยกให้ภูเขาไฟฟูจิเลย ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับภูเขาไฟ ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นนะบอกเลย เอ่ยชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิใครๆก็รู้จัก แม้กระทั่งเด็ก 5-6 ปี ก็รู้จักกันแล้วตำนานมาก  ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดและสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาในฤดูกาลไหนก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันไป และถ้าหากวันไหนท้องฟ้าปลอดโปร่งมากๆ ก็จะสามารถมองเห็นได้จากเมืองโตเกียว และเมืองโยโกฮาม่าด้วย ภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่บริเวณจังหวัด ชิซูโอเกะและจังหวัดยามานาชิอยู่ทางตะวันตกของโตเกียว    ในปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์ ให้อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ชาวญี่ปุ่นได้มีความผูกพันกับภูเขามานานหลายศตวรรษ ตำนานเล่าว่านักบวชฮะเซะงะวะ โคะโกะเกียว (ค.ศ. 1541 - 1646) ที่เป็นบุคคลสำคัญได้เคยปีนขึ้นลงภูเขานี้มากว่า 100 ครั้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีการก่อตั้งกลุ่มฟูจิโกะซึ่งเป็นกลุ่มที่รวม ผู้นับถือภูเขาไฟฟูจิ ผู้นับถือนิกายนี้ได้ก่อตั้งศาลเจ้า สร้างอนุสาวรีย์หิน และอดอาหารเป็นการอุทิศ ความคลั่งไคล้นี้ท้ายที่สุดก็เป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลโชกุนโทกุกาวะตัดสินใจสั่งห้ามนับถือศาสนานี้     แต่ถึงอย่างนั้น ประเพณีบูชาภูเขาที่มีมาอย่างช้านานก็ได้ทำให้ภูเขาลูกนี้ยังคงเป็นที่เคารพนบน้อมในฐานะสถานที่ที่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณ ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่นี่ยังมีที่สำหรับแสวงบุญอีกด้วย ผู้คนกว่า 300,000 คนจะมาปีนภูเขาไฟฟูจิ ทุก ๆ ฤดูร้อน เส้นทางปีนเขาหลักทั้งสี่สายต่างมีเส้นทางไปยอดเขาต่างกัน รวมทั้งสถานที่หยุดพักหรือ “สถานี” เพื่อบริการสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักตามทาง นักปีนเขาส่วนใหญ่จะวางแผนให้ปีนขึ้นไปทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ลองจินตนาการว่าคุณปีนเขาในช่วงเช้าตรู่เพื่อขึ้นไปบนยอดเขาและชมพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากเส้นขอบฟ้า ในยุคก่อน     ภูเขาไฟฟูจิ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพระและยังเป็นสถานที่แสวงบุญของคนธรรมดาทั่วไปอีกด้วย ศาลเจ้าต่าง ๆ ที่เชิงเขาเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าภูเขาไฟ ฟูจิมีความสำคัญทางด้านจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ภูเขาไฟ ฟูจิมีภาพจำที่โดดเด่นที่สุดในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603 - 1867) ชุดผลงานโดยศิลปินภาพพิมพ์ไม้ที่ชื่ออันโด ฮิโรชิเงะซึ่งเป็นภาพ ภูเขาไฟฟูจิ จะแสดงให้เห็นถึงภูเขาจากจุดชมวิวและสถานที่ต่าง ๆ โดยผู้คนจากทั่วโลกสามารถสัมผัสกับกลิ่นอายของภูมิภาคและวิถีชีวิตของชาวบ้านได้ เช่นเดียวกันนี้เอง     ภาพพิมพ์ไม้โดยศิลปินคัตสึชิกะ โฮกูไซผู้ยิ่งใหญ่เองก็มีอิทธิพลสำคัญต่อศิลปินตะวันตกอย่างวินเซนต์ แวน โก๊ะ รวมไปถึงถึงนักแต่งเพลง โคลด เดอบุสซี วิวสวยงามของภูเขาไฟ ฟูจิที่นิยมในยุคเอโดะทำให้ภูเขากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก มหัศจรรย์ทางภูมิศาสตร์ ภูเขาไฟลูกนี้ที่เกิดขึ้นประมาณ 100,000 ปีก่อนได้ปะทุอยู่บ่อยครั้งจนในท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นภูเขาไฟ ฟูจิซึ่งคว้าตำแหน่งภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วยความสูง 3,776 เมตร การปะทุครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1707 กินเวลา 16 วัน โดยเถ้าภูเขาไฟลอยไปไกลถึงโตเกียว    การปะทุของภูเขาไฟยังทำให้เกิดโฮเอซัง (ยอดเขาฟูจิอันดับสอง) ทะเลสาบทั้งห้าแห่งที่เชิงเขา และถ้ำมากมายใกล้ป่าอะโอคิกะฮะระ พื้นที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคนี้เหมาะแก่การทำกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้งและผ่อนคลาย เพราะประวัติศาสของภูเขาไฟลูกนี้ มีมายาวนานและความสวยงามที่เกิดขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่แทบตลอดทั้งปีไม่มีว่างเว้น แถมสถานที่แห่งนี้ยังมีที่เที่ยวใกล้เคียงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมที่พัก ร้านค้าร้านอาหาร ล้อมรอบเยอะแยะมากมาย    สำหรับช่วงฤดูไหนที่เหมาะสำหรับไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ มีสองฤดูด้วยกัน เริ่มต้นจากฤดูร้อน ฤดูกาลที่ท้องฟ้าแจ่มใส สำหรับใครที่เป็นสายผจญภัยแนะนำให้มาช่วงนี้เดือนมิ.ย.- ส.ค. เพราะฟ้าจะเปิดเหมาะสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดท้ายคือฤดูหนาว เดือนก.ย. – พ.ย. หิมะเริ่มปกคลุม ภูเขาไฟฟูจิจะสวยงามที่สุด สุดท้ายนี้อากาศของภูเขาไฟฟูจิ จะมีอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าจะเดินขึ้นเขาภูเขาไฟฟูจิ ในฤดูร้อน โอกาสที่อุณหภูมิจะต่ำเพียง 5-8 องศา ดังนั้นจึงควรเช็คพยากรณ์อากาศก่อนเดินขึ้นเขาทุกครั้ง ทั้งนี้ควรนำเสื้อกันหนาวไปทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง วิธีการเดินทาง   รถบัส เป็นหนทางที่ประหยัดและง่ายสำหรับคนที่ไม่ชินทางอย่างชาวต่างชาติแบบเรา ๆ แต่อาจใช้เวลาในการเดินทางเยอะกว่าการขึ้นรถไฟและควบคุมเวลาไม่ได้หากการจราจรในบริเวณนั้นหนาแน่น

สวนสนุกแดนสวรรค์ พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส (Kawaguchiko Music Forest)

สวนสนุกแดนสวรรค์ พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส (Kawaguchiko Music Forest)

352

   สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับพิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสเป็นสวนสนุกขนาดเล็กเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเครื่องดนตรีแบบอัตโนมัติ ภายในห้องโถงหลักมีกล่องดนตรีโบราณแดนซ์ออร์แกนขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส กล่องดนตรีนี้จะบรรเลงเพลงดนตรีทุกๆ 30 นาที และภายในยังมีเครื่องเล่นดนตรีอัตโนมัติอีกหลายอย่าง เครื่องดนตรีอัตโนมัติส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศในแถบยุโรปทั้งหมด    ภายในห้องโถงนี้ยังใช้จัดกิจกรรม แสดงคอนเสิร์ต จากศิลปินนักดนตรีเพลงคลาสสิคจากทั่วโลก ได้มาจัดแสดงในที่แห่งนี้ ที่แวะเวียนเปลี่ยนกันมาเป็นประจำทุกวัน ภายในตกแต่งด้วยโคมไฟสไตล์ยุโรปอย่างหรูหรา ผสมผสานกับเครื่องดนตรีแปลกๆไว้ให้เดินชม ภายนอกอาคารก่อสร้างเป็นทรงบ้านสไตล์ยุโรปโบราณสวยงาม ภายนอกมีสวนหญ้าเป็นสวนหย่อมเล็กๆ และมีสวนดอกกุหลาบที่สวยงามมาก    ภายด้านหน้าก็มีน้ำพุมองแล้วได้ฟิวส์เหมือนไปยุโรปจริงๆเลยค่ะ แถมฉากหลังยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบอีกด้วย เรียกได้ว่าวิวโดยรอบบรรยากาศดีสุดๆ สถานที่เที่ยวในญี่ปุ่น ที่ถูกสร้างสไตล์ยุโรปมีไม่มากนัก จึงทำให้พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสแห่งนี้ มีความแปลกใหม่สวยแปลกตา สำหรับนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นอย่างมาก นักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นนิยมมาเดินเล่นที่นี่กันมาก เพราะนอกจากมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม มีดนตรีเพราะๆให้ฟังกันเพลินๆ เข้ากับบรรยากาศโรแมนติกแล้ว ยังมีร้านค้าขายของ ร้านอาหาร ขายเค้ก ขายชาเขียว ที่อร่อยมากให้นักท่องเที่ยวได้นั่งกิน เหมือนคาเฟ่เล็กๆ เปรียบเสมือนเป็นมุมพักผ่อน หรือทานข้าวกับครอบครัวได้เป็นอย่างดี    นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ ยังรับจัดงานเลี้ยงเล็กๆให้ด้วย ใครที่อยากจัดวันเกิดหรือมี Surprise ให้คนสำคัญก็สามารถจองโต๊ะไว้ได้ และมีดนตรีเปิดให้ฟังตลอดทั้งวัน มีการแสดงที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น การแสดงสดการประดิษฐ์ทราย การแสดงน้ำพุ การแสดงโอเปร่าผ่านเครื่องดนตรีอัตโนมัติคลาสสิค การแสดงเป็นรอบๆต่อวัน มีร้านขายของที่ระลึก งานฝีมือ ช่วงในวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้คนจะมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงใช้เวลากับครอบครัว ส่วนสาวๆที่ชอบถ่ายรูปห้ามพลาดที่นี่ เพราะเขามีบริการให้เช่าชุดเจ้าหญิงด้วย  ไว้ใส่สวยๆให้เข้ากับบรรยากาศ หรือใส่เดินเที่ยว เดินหามุมถ่ายรูปสวยๆได้นะคะ ค่าเช่าชุด ผู้ใหญ่ราคา 1,000 เยน เด็กราคา 500 เยน  เวลาในการเช่าชุดก็ประมาณ 90 นาที มาญี่ปุ่นแต่ได้อารมณ์เหมือนไปยุโรป ถือว่าแปลกใหม่ไปอีกแบบ สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ หากใครมาเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ ก็แวะมาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันได้นะคะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ กำหนดการเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป : ค่าเข้าชม 1,800 เยน ( เงินไทยประมาณ 320 บาท)สำหรับเด็กและเยาวชน : ค่าเข้าชม 800 เยน ( เงินไทยประมาณ 195 บาท และมีส่วนลด 300 เยนสำหรับการแสดงคูปอง HIS) เวลาทำการปิด-เปิด : 9:00-17:30 น. ( เข้าชมก่อน 17:00 )วิธีการเดินทางเดินทางจาก Kawaguchiko Station สามารถนั่งรถบัส retro bus สาย Kawaguchiko Line ไปลงที่สถานี Ukai Orugoruno Mori Bijutsukan ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที 

พระราชวังอิมพีเรียล หัวใจหลักกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

พระราชวังอิมพีเรียล หัวใจหลักกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

279

   สวัสดีค่ะ วันนี้แอดจะพามาทำความรู้จักกับพระราชวังอิมพีเรียลกันค่ะ เพื่อว่าใครไปญี่ปุ่นแล้วนึกที่เที่ยวไม่ออก แอดขอแนะพระราชวังอิมพีเรียล พระราชวังอิมพีเรียลมีประวัติและความเป็นมายังไงบ้างไปดูกันเลยค่ะ พระราชวังอิมพีเรียลคือที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชวังแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในเขตพื้นที่เดิมของปราสาทเอโดะ ซึ่งเป็นที่อยู่ของโชกุนโทคุกาวะก่อนปี ค.ศ.1868 พื้นที่ภายในกว้างใหญ่ มีสวนหย่อม มีคูน้ำไหล สวนแห่งนี้ใหญ่โตมาก มีพระตำหนักที่ใหญ่มากด้วยเช่นกัน ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะ บริเวณพระราชวังจึงล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงหินโบราณสูงเรียงกันเป็นชั้นๆ ตัวโครงสร้างพระตำหนักมีสีขาวเป็นหลัก หลังคาทรงโบราณสลับซับซ้อนสีเทา สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถัน    นอกจากนี้พระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานพิธีสำคัญๆต่างๆที่สำคัญๆอีกด้วย แนะนำให้ลองไปเดินเล่นภายในและบริเวณรอบๆพระราชวังแห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนาน พระราชวังแห่งนี้งดงามไปด้วยธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างที่งดงาม ล้ำค่า ละลานตา ให้อารมณ์ย้อนยุคเหมือนพระราชวังสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นฉากที่สวยงามราวกับความฝัน เต็มไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่งสีอมชมพูและใบไม้เปลี่ยนสีเข้ากับพระราชวังแห่งนี้มาก    จุดเด่นจะเป็นความสวยงามของกำแพงโบราณที่สูงสวยงามเรียงด้วยหินอย่างมีระเบียบ มีวิธีการสร้างอย่างโบราณ มีแหล่งคูน้ำธรรมชาติล้อมรอบ ภายในมีต้นไม้ใหญ่มากมาย ให้ร่มเย็นสีเขียวดูสบายตา และสวนหญ้าขนาดใหญ่ไว้ให้เดินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน เพราะความสวยงามอันมีเสน่ห์ของพระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ จึงมีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองญี่ปุ่นแวะเวียนกันมาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง วันหยุดสุดสัปดาห์คนจะเยอะนิดนึงนะคะ กาเข้าชม   การเข้าชมภายในพระราชวังอิมพีเรียลนั้นต้องลงทะเบียนก่อนนะคะ สามารถทำการลงทะเบียนล่วงหน้าทางออนไลน์ หรือมารอต่อแถวลงทะเบียนที่ด้านหน้าพระราชวัง ในวันที่ต้องการเข้าชมก็ได้ การเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลนั้นจะมีเจ้าหน้านำทางพาไป เหมือนไกด์นำเที่ยวคอยให้ความรู้ตามจุดและพื้นที่สำคัญของพระราชวังอิมพีเรียลข้อมูลอย่างหนาแน่น โดยเจ้าหน้าที่จะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษนะคะ    การเที่ยวชมพระราชวังจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 เท่านั้น และภายในพระราชวังแห่งนี้ ยังมีร้านค้าที่จำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับพระราชวังไว้ให้ได้ซื้อ เที่ยวชม ติดไม้ติดมือเป็นของฝาก หรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ได้ค่ะ สักครั้งนึงในชีวิตต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งนะคะ แล้วจะไม่ผิดหวังกลับไปอย่างแน่นอน กฏการเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลสำหรับบุคคลทั่วไป 18+   เปิดเข้าชมวันละ 2 รอบ รอบเช้าเริ่มเวลา 10:00 น. รอบบ่ายเริ่มเวลา 13:30 น. จำกัดจำนวนผู้เข้าชมรอบละประมาณ 500 คนเท่านั้นสำหรับผู้อายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์กฏการเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลสำหรับเด็กและเยาวชน   สำหรับเด็กเยาวชนที่อายุไม่เกิน 18 ปีนั้น จำเป็นต้องเดินทางมากับผู้บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ปกครอง พ่อ แม่ หรือ ครู อาจารย์ เท่านั้น และจะมีการตรวจพาสปอร์ตในวันเข้าชมด้วยนะคะ วิธีการเดินทาง   สำหรับการเดินทางไปที่พระราชวังอิมพีเรียลนั้นแนะนำให้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Subway สาย Chiyoda Line ลงที่สถานี Nijubashi-mae(C10)  Exit 2  เมื่อเดินขึ้นสถานีมาเดินอีก 5 นาทีจะถึงบริเวณเขตพระราชฐานของพระราชวังแล้วค่ะ