เวลาทำการ

จันทร์-ศุกร์

09-00-18.00 น.

เราช่วยคุณได้

@taladtour

Travel License : 11/11173

หน้าแรก

/

ข้อมูลท่องเที่ยว

สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่นดั่งเดิม เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

สัมผัสวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่นดั่งเดิม เมืองออนเซ็นคุโรคาวะ ( Kurokawa onsen )

233

   เมืองออนเซ็นคุโรคาวะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ ( ภูเขาเอโซะ ) ในจังหวัดคุมาโมโต้ เป็นเมืองออนเซ็นที่ฮอตฮิตตลอดกาลของญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ได้รับการนิยมจากนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นเองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นเองจะชอบการแช่ออนเซ็นเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้    คนญี่ปุ่นเชื่อว่าการได้แช่ออนเซ็น เหมือนร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ การรักษาร่างกายให้อบอุ่นทำให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุต่างๆได้เต็มที่อีกด้วย เพราะการแช่ออนเซ็นของชาวญี่ปุ่นนั้น มีมายาวนานตั้งแต่ยุคสมัยญี่ปุ่นโบราณสืบทอดมาจนทุกวันนี้ ไม่ใช่แค่เมืองออนเซ็นคุโรคาวะที่มีออนเซ็น แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นมีที่สำหรับแช่ออนเซ็นให้เห็นอีกมากมากมาย แต่เมืองออนเซ็นโรคาวะแห่งนี้จะมีเยอะเป็นพิเศษ ด้วยความมีเสน่ห์ที่ลงตัวของเมืองออนเซ็นคุโรคาวะ จากบรรยากาศโดยรอบได้รักษาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่คงความเก่าแก่ไว้เป็นอย่างดี เพียงแค่ได้ก้าวขาเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เหมือนหลุดไปอยู่ยุคบ้านเก่าแก่ญี่ปุ่น เพราะโซนแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็น ตึก อาคาร บ้านเรือน ร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม เน้นสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมโบราณทั้งหมด    นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นเหมือนชนบทย้อนยุค ที่มีธรรมชาติจากต้นไม้สีเขียวสลับกับใบไม้เปลี่ยนสี มีลำธารแม่น้ำไหลผ่าน ทำให้บรรยากาศโดยรอบเย็นชุ่มฉ่ำออกจะชื้นๆ จึงเมาะกับการมาแช่ออนเซ็นอย่างมาก ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะเต็มไปด้วยต้นเมเปิ้ลที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงสวยงามมากใน ช่วงเดือนพฤศจิกายน และถ้าอยากให้เข้ากับบรรยากาศของเมืองออนเซ็นแห่งนี้ควรเปลี่ยนใส่ชุดยูกาตะและรองเท้าเกี๊ยะแบบญี่ปุ่น ก็จะยิ่งเข้าถึงบรรยากาศญี่ปุ่นแบบย้อนยุคเข้าไปอีก การแต่งกายด้วยชุดยูกาตะ   ชุดยูกาตะจะมีไว้ให้สำหรับนักท่องเที่ยวและแขกผู้มาเยือนออนเซ็นแห่งนี้ โดยทางโรงแรมและสถานที่พักจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว สายถ่ายรูปไม่ควรพลาด ชุดยูกาตะนี้สามารถใส่ไปเดินถ่ายรูปเที่ยวตามหมู่บ้านได้เลย หรือใส่ไปร้านอาหารก็ได้ ก็จะเป็นอีกหนึ่งสีสันของที่นี่ ตามตรอกซอกซอยของคุโรกาวะเรียงรายไปด้วยเรียวกัง โรงอาบน้ำสาธารณะ ร้านค้าและคาเฟ่ที่สวยงาม และศาลเจ้าเล็กๆ และสะพานที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำไปยังทางเข้าเรียวกัง ไม่เพียงสำหรับแขกผู้เข้าพักที่เรียวกังสามารถแช่ออนเซ็นได้ไม่จำกัด    สำหรับผู้ที่เดินทางแบบไป-กลับ ก็สามารถใช้บริการแช่ออนเซ็นได้ด้วย บัตรผ่านไม้ (เทกาตะ) จำหน่ายในราคา 1,300 เยน (ประมาณ 320 บาท) โดยสามารถเข้าใช้บริการโรงอาบน้ำของเรียวกัง 3 แห่งได้ตามใจชอบ และใช้ได้นานถึง 6 เดือน มีให้บริการที่ศูนย์ข้อมูลและเรียวกังที่เข้าร่วมกว่า 20 แห่ง แนะนำ หนึ่งในโรงอาบน้ำริมแม่น้ำที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น โรงอาบน้ำกลางแจ้งของ Yamamizuki ตั้งอยู่ในป่าติดกับแม่น้ำบนภูเขาที่งดงาม นอกจากนี้ยังมีห้องอาบน้ำในร่ม บ่อน้ำทั้งหมดแยกเพศหญิงเพศชายอัตราค่าบริการ   ค่าบริการแช่ออนเซ็น 600 เยน (ประมาณ 150 บาทต่อคน) ค่าที่พัก เริ่มต้น 19,000 เยนต่อคน (ประมาณ 4,560 บาทต่อคน)  รวมอาหารเช้าและเย็น ช่วงเวลาทำการเปิด-ปิด 8.30 – 21.00 น.การเดินทาง   รถบัสด่วน มีบริการรถบัสด่วนวิ่งตรงวันละ 2 รอบระหว่างฟุกุโอกะ (สถานีฮากาตะ ศูนย์รถบัสเทนจิน และสนามบินฟุกุโอกะ) และคุโรคาวะ ออนเซ็น การเดินทางเที่ยวเดียวใช้เวลาประมาณ 2.5 ชั่วโมง ราคา 3,470 เยน (ครอบคลุมบัตร Sun Q Pass บัตรโดยสารรถบัสสำหรับโดยสารรถประจำทางส่วนใหญ่ในคิวชูได้อย่างไม่จำกัด)    รถไฟ เนื่องจากคุโรคาวะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ การเดินทางด้วยรถไฟใกล้สุดคือมาลงสถานี Hita โดยรถไฟด่วนพิเศษตรง (75 นาที ประมาณ 3,000 เยน ต่อเที่ยว) หรือโดยรถไฟท้องถิ่นผ่านคุรุเมะ (100 นาที 1,680 เยน) ทั้งคู่ครอบคลุม JR pass จากนั้นต่อรถบัสจากสถานี Hita มาลงคุโรคาวะ ใช้เวลา 70 นาที ราคา 1,880 บาท รถบัสวิ่งวันละ 2 เที่ยวต่อวัน

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

ทำความรู้จักภูเขาไฟฟูจิ ก่อนเที่ยวญี่ปุ่น

286

   เที่ยวไฮไลท์ของญี่ปุ่น คงต้องยกให้ภูเขาไฟฟูจิเลย ใครมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่ได้ถ่ายรูปกับภูเขาไฟ ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นนะบอกเลย เอ่ยชื่อว่าภูเขาไฟฟูจิใครๆก็รู้จัก แม้กระทั่งเด็ก 5-6 ปี ก็รู้จักกันแล้วตำนานมาก  ภูเขาฟูจิได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดและสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น ไม่ว่าจะมาในฤดูกาลไหนก็มีความสวยงามที่แตกต่างกันไป และถ้าหากวันไหนท้องฟ้าปลอดโปร่งมากๆ ก็จะสามารถมองเห็นได้จากเมืองโตเกียว และเมืองโยโกฮาม่าด้วย ภูเขาไฟฟูจิตั้งอยู่บริเวณจังหวัด ชิซูโอเกะและจังหวัดยามานาชิอยู่ทางตะวันตกของโตเกียว    ในปัจจุบันภูเขาไฟฟูจิได้ถูกจัดโดยนักวิทยาศาสตร์ ให้อยู่ในลักษณะของภูเขาไฟที่มีโอกาสปะทุต่ำ ชาวญี่ปุ่นได้มีความผูกพันกับภูเขามานานหลายศตวรรษ ตำนานเล่าว่านักบวชฮะเซะงะวะ โคะโกะเกียว (ค.ศ. 1541 - 1646) ที่เป็นบุคคลสำคัญได้เคยปีนขึ้นลงภูเขานี้มากว่า 100 ครั้ง ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีการก่อตั้งกลุ่มฟูจิโกะซึ่งเป็นกลุ่มที่รวม ผู้นับถือภูเขาไฟฟูจิ ผู้นับถือนิกายนี้ได้ก่อตั้งศาลเจ้า สร้างอนุสาวรีย์หิน และอดอาหารเป็นการอุทิศ ความคลั่งไคล้นี้ท้ายที่สุดก็เป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลโชกุนโทกุกาวะตัดสินใจสั่งห้ามนับถือศาสนานี้     แต่ถึงอย่างนั้น ประเพณีบูชาภูเขาที่มีมาอย่างช้านานก็ได้ทำให้ภูเขาลูกนี้ยังคงเป็นที่เคารพนบน้อมในฐานะสถานที่ที่มีความสำคัญทางจิตวิญญาณ ภูเขาไฟฟูจิ เป็นภูเขาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ที่นี่ยังมีที่สำหรับแสวงบุญอีกด้วย ผู้คนกว่า 300,000 คนจะมาปีนภูเขาไฟฟูจิ ทุก ๆ ฤดูร้อน เส้นทางปีนเขาหลักทั้งสี่สายต่างมีเส้นทางไปยอดเขาต่างกัน รวมทั้งสถานที่หยุดพักหรือ “สถานี” เพื่อบริการสิ่งอำนวยความสะดวกและที่พักตามทาง นักปีนเขาส่วนใหญ่จะวางแผนให้ปีนขึ้นไปทันดูพระอาทิตย์ขึ้น ลองจินตนาการว่าคุณปีนเขาในช่วงเช้าตรู่เพื่อขึ้นไปบนยอดเขาและชมพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ โผล่ออกมาจากเส้นขอบฟ้า ในยุคก่อน     ภูเขาไฟฟูจิ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับพระและยังเป็นสถานที่แสวงบุญของคนธรรมดาทั่วไปอีกด้วย ศาลเจ้าต่าง ๆ ที่เชิงเขาเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าภูเขาไฟ ฟูจิมีความสำคัญทางด้านจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ภูเขาไฟ ฟูจิมีภาพจำที่โดดเด่นที่สุดในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603 - 1867) ชุดผลงานโดยศิลปินภาพพิมพ์ไม้ที่ชื่ออันโด ฮิโรชิเงะซึ่งเป็นภาพ ภูเขาไฟฟูจิ จะแสดงให้เห็นถึงภูเขาจากจุดชมวิวและสถานที่ต่าง ๆ โดยผู้คนจากทั่วโลกสามารถสัมผัสกับกลิ่นอายของภูมิภาคและวิถีชีวิตของชาวบ้านได้ เช่นเดียวกันนี้เอง     ภาพพิมพ์ไม้โดยศิลปินคัตสึชิกะ โฮกูไซผู้ยิ่งใหญ่เองก็มีอิทธิพลสำคัญต่อศิลปินตะวันตกอย่างวินเซนต์ แวน โก๊ะ รวมไปถึงถึงนักแต่งเพลง โคลด เดอบุสซี วิวสวยงามของภูเขาไฟ ฟูจิที่นิยมในยุคเอโดะทำให้ภูเขากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก มหัศจรรย์ทางภูมิศาสตร์ ภูเขาไฟลูกนี้ที่เกิดขึ้นประมาณ 100,000 ปีก่อนได้ปะทุอยู่บ่อยครั้งจนในท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นภูเขาไฟ ฟูจิซึ่งคว้าตำแหน่งภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นด้วยความสูง 3,776 เมตร การปะทุครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1707 กินเวลา 16 วัน โดยเถ้าภูเขาไฟลอยไปไกลถึงโตเกียว    การปะทุของภูเขาไฟยังทำให้เกิดโฮเอซัง (ยอดเขาฟูจิอันดับสอง) ทะเลสาบทั้งห้าแห่งที่เชิงเขา และถ้ำมากมายใกล้ป่าอะโอคิกะฮะระ พื้นที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยบ่อน้ำพุร้อนที่มีแร่ธาตุสูง ซึ่งส่งผลให้ภูมิภาคนี้เหมาะแก่การทำกิจกรรมนันทนาการกลางแจ้งและผ่อนคลาย เพราะประวัติศาสของภูเขาไฟลูกนี้ มีมายาวนานและความสวยงามที่เกิดขึ้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวที่นี่แทบตลอดทั้งปีไม่มีว่างเว้น แถมสถานที่แห่งนี้ยังมีที่เที่ยวใกล้เคียงอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมที่พัก ร้านค้าร้านอาหาร ล้อมรอบเยอะแยะมากมาย    สำหรับช่วงฤดูไหนที่เหมาะสำหรับไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ มีสองฤดูด้วยกัน เริ่มต้นจากฤดูร้อน ฤดูกาลที่ท้องฟ้าแจ่มใส สำหรับใครที่เป็นสายผจญภัยแนะนำให้มาช่วงนี้เดือนมิ.ย.- ส.ค. เพราะฟ้าจะเปิดเหมาะสำหรับชมพระอาทิตย์ขึ้น สุดท้ายคือฤดูหนาว เดือนก.ย. – พ.ย. หิมะเริ่มปกคลุม ภูเขาไฟฟูจิจะสวยงามที่สุด สุดท้ายนี้อากาศของภูเขาไฟฟูจิ จะมีอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าจะเดินขึ้นเขาภูเขาไฟฟูจิ ในฤดูร้อน โอกาสที่อุณหภูมิจะต่ำเพียง 5-8 องศา ดังนั้นจึงควรเช็คพยากรณ์อากาศก่อนเดินขึ้นเขาทุกครั้ง ทั้งนี้ควรนำเสื้อกันหนาวไปทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง วิธีการเดินทาง   รถบัส เป็นหนทางที่ประหยัดและง่ายสำหรับคนที่ไม่ชินทางอย่างชาวต่างชาติแบบเรา ๆ แต่อาจใช้เวลาในการเดินทางเยอะกว่าการขึ้นรถไฟและควบคุมเวลาไม่ได้หากการจราจรในบริเวณนั้นหนาแน่น

สวนสนุกแดนสวรรค์ พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส (Kawaguchiko Music Forest)

สวนสนุกแดนสวรรค์ พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส (Kawaguchiko Music Forest)

189

   สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้จะพามาทำความรู้จักกับพิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรส พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสเป็นสวนสนุกขนาดเล็กเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเครื่องดนตรีแบบอัตโนมัติ ภายในห้องโถงหลักมีกล่องดนตรีโบราณแดนซ์ออร์แกนขนาดใหญ่จากฝรั่งเศส กล่องดนตรีนี้จะบรรเลงเพลงดนตรีทุกๆ 30 นาที และภายในยังมีเครื่องเล่นดนตรีอัตโนมัติอีกหลายอย่าง เครื่องดนตรีอัตโนมัติส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศในแถบยุโรปทั้งหมด    ภายในห้องโถงนี้ยังใช้จัดกิจกรรม แสดงคอนเสิร์ต จากศิลปินนักดนตรีเพลงคลาสสิคจากทั่วโลก ได้มาจัดแสดงในที่แห่งนี้ ที่แวะเวียนเปลี่ยนกันมาเป็นประจำทุกวัน ภายในตกแต่งด้วยโคมไฟสไตล์ยุโรปอย่างหรูหรา ผสมผสานกับเครื่องดนตรีแปลกๆไว้ให้เดินชม ภายนอกอาคารก่อสร้างเป็นทรงบ้านสไตล์ยุโรปโบราณสวยงาม ภายนอกมีสวนหญ้าเป็นสวนหย่อมเล็กๆ และมีสวนดอกกุหลาบที่สวยงามมาก    ภายด้านหน้าก็มีน้ำพุมองแล้วได้ฟิวส์เหมือนไปยุโรปจริงๆเลยค่ะ แถมฉากหลังยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิ ที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบอีกด้วย เรียกได้ว่าวิวโดยรอบบรรยากาศดีสุดๆ สถานที่เที่ยวในญี่ปุ่น ที่ถูกสร้างสไตล์ยุโรปมีไม่มากนัก จึงทำให้พิพิธภัณฑ์คาวากูจิโกะมิวสิคฟอร์เรสแห่งนี้ มีความแปลกใหม่สวยแปลกตา สำหรับนักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นอย่างมาก นักท่องเที่ยวและชาวญี่ปุ่นนิยมมาเดินเล่นที่นี่กันมาก เพราะนอกจากมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม มีดนตรีเพราะๆให้ฟังกันเพลินๆ เข้ากับบรรยากาศโรแมนติกแล้ว ยังมีร้านค้าขายของ ร้านอาหาร ขายเค้ก ขายชาเขียว ที่อร่อยมากให้นักท่องเที่ยวได้นั่งกิน เหมือนคาเฟ่เล็กๆ เปรียบเสมือนเป็นมุมพักผ่อน หรือทานข้าวกับครอบครัวได้เป็นอย่างดี    นอกจากนี้สถานที่แห่งนี้ ยังรับจัดงานเลี้ยงเล็กๆให้ด้วย ใครที่อยากจัดวันเกิดหรือมี Surprise ให้คนสำคัญก็สามารถจองโต๊ะไว้ได้ และมีดนตรีเปิดให้ฟังตลอดทั้งวัน มีการแสดงที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น การแสดงสดการประดิษฐ์ทราย การแสดงน้ำพุ การแสดงโอเปร่าผ่านเครื่องดนตรีอัตโนมัติคลาสสิค การแสดงเป็นรอบๆต่อวัน มีร้านขายของที่ระลึก งานฝีมือ ช่วงในวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้คนจะมาเยอะเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงใช้เวลากับครอบครัว ส่วนสาวๆที่ชอบถ่ายรูปห้ามพลาดที่นี่ เพราะเขามีบริการให้เช่าชุดเจ้าหญิงด้วย  ไว้ใส่สวยๆให้เข้ากับบรรยากาศ หรือใส่เดินเที่ยว เดินหามุมถ่ายรูปสวยๆได้นะคะ ค่าเช่าชุด ผู้ใหญ่ราคา 1,000 เยน เด็กราคา 500 เยน  เวลาในการเช่าชุดก็ประมาณ 90 นาที มาญี่ปุ่นแต่ได้อารมณ์เหมือนไปยุโรป ถือว่าแปลกใหม่ไปอีกแบบ สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ หากใครมาเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ ก็แวะมาพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันได้นะคะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดเลยค่ะ กำหนดการเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไป : ค่าเข้าชม 1,800 เยน ( เงินไทยประมาณ 320 บาท)สำหรับเด็กและเยาวชน : ค่าเข้าชม 800 เยน ( เงินไทยประมาณ 195 บาท และมีส่วนลด 300 เยนสำหรับการแสดงคูปอง HIS) เวลาทำการปิด-เปิด : 9:00-17:30 น. ( เข้าชมก่อน 17:00 )วิธีการเดินทางเดินทางจาก Kawaguchiko Station สามารถนั่งรถบัส retro bus สาย Kawaguchiko Line ไปลงที่สถานี Ukai Orugoruno Mori Bijutsukan ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที 

พระราชวังอิมพีเรียล หัวใจหลักกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

พระราชวังอิมพีเรียล หัวใจหลักกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

127

   สวัสดีค่ะ วันนี้แอดจะพามาทำความรู้จักกับพระราชวังอิมพีเรียลกันค่ะ เพื่อว่าใครไปญี่ปุ่นแล้วนึกที่เที่ยวไม่ออก แอดขอแนะพระราชวังอิมพีเรียล พระราชวังอิมพีเรียลมีประวัติและความเป็นมายังไงบ้างไปดูกันเลยค่ะ พระราชวังอิมพีเรียลคือที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น พระราชวังแห่งนี้ก่อสร้างขึ้นในเขตพื้นที่เดิมของปราสาทเอโดะ ซึ่งเป็นที่อยู่ของโชกุนโทคุกาวะก่อนปี ค.ศ.1868 พื้นที่ภายในกว้างใหญ่ มีสวนหย่อม มีคูน้ำไหล สวนแห่งนี้ใหญ่โตมาก มีพระตำหนักที่ใหญ่มากด้วยเช่นกัน ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอโดะ บริเวณพระราชวังจึงล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงหินโบราณสูงเรียงกันเป็นชั้นๆ ตัวโครงสร้างพระตำหนักมีสีขาวเป็นหลัก หลังคาทรงโบราณสลับซับซ้อนสีเทา สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างพิถีพิถัน    นอกจากนี้พระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานพิธีสำคัญๆต่างๆที่สำคัญๆอีกด้วย แนะนำให้ลองไปเดินเล่นภายในและบริเวณรอบๆพระราชวังแห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่แสนยาวนาน พระราชวังแห่งนี้งดงามไปด้วยธรรมชาติและสิ่งปลูกสร้างที่งดงาม ล้ำค่า ละลานตา ให้อารมณ์ย้อนยุคเหมือนพระราชวังสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นฉากที่สวยงามราวกับความฝัน เต็มไปด้วยดอกซากุระที่บานสะพรั่งสีอมชมพูและใบไม้เปลี่ยนสีเข้ากับพระราชวังแห่งนี้มาก    จุดเด่นจะเป็นความสวยงามของกำแพงโบราณที่สูงสวยงามเรียงด้วยหินอย่างมีระเบียบ มีวิธีการสร้างอย่างโบราณ มีแหล่งคูน้ำธรรมชาติล้อมรอบ ภายในมีต้นไม้ใหญ่มากมาย ให้ร่มเย็นสีเขียวดูสบายตา และสวนหญ้าขนาดใหญ่ไว้ให้เดินเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน เพราะความสวยงามอันมีเสน่ห์ของพระราชวังอิมพีเรียลแห่งนี้ จึงมีนักท่องเที่ยวและชาวเมืองญี่ปุ่นแวะเวียนกันมาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง วันหยุดสุดสัปดาห์คนจะเยอะนิดนึงนะคะ กาเข้าชม   การเข้าชมภายในพระราชวังอิมพีเรียลนั้นต้องลงทะเบียนก่อนนะคะ สามารถทำการลงทะเบียนล่วงหน้าทางออนไลน์ หรือมารอต่อแถวลงทะเบียนที่ด้านหน้าพระราชวัง ในวันที่ต้องการเข้าชมก็ได้ การเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลนั้นจะมีเจ้าหน้านำทางพาไป เหมือนไกด์นำเที่ยวคอยให้ความรู้ตามจุดและพื้นที่สำคัญของพระราชวังอิมพีเรียลข้อมูลอย่างหนาแน่น โดยเจ้าหน้าที่จะบรรยายเป็นภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษนะคะ    การเที่ยวชมพระราชวังจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 20 เท่านั้น และภายในพระราชวังแห่งนี้ ยังมีร้านค้าที่จำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับพระราชวังไว้ให้ได้ซื้อ เที่ยวชม ติดไม้ติดมือเป็นของฝาก หรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็ได้ค่ะ สักครั้งนึงในชีวิตต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งนะคะ แล้วจะไม่ผิดหวังกลับไปอย่างแน่นอน กฏการเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลสำหรับบุคคลทั่วไป 18+   เปิดเข้าชมวันละ 2 รอบ รอบเช้าเริ่มเวลา 10:00 น. รอบบ่ายเริ่มเวลา 13:30 น. จำกัดจำนวนผู้เข้าชมรอบละประมาณ 500 คนเท่านั้นสำหรับผู้อายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์กฏการเข้าชมพระราชวังอิมพีเรียลสำหรับเด็กและเยาวชน   สำหรับเด็กเยาวชนที่อายุไม่เกิน 18 ปีนั้น จำเป็นต้องเดินทางมากับผู้บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ปกครอง พ่อ แม่ หรือ ครู อาจารย์ เท่านั้น และจะมีการตรวจพาสปอร์ตในวันเข้าชมด้วยนะคะ วิธีการเดินทาง   สำหรับการเดินทางไปที่พระราชวังอิมพีเรียลนั้นแนะนำให้นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน Subway สาย Chiyoda Line ลงที่สถานี Nijubashi-mae(C10)  Exit 2  เมื่อเดินขึ้นสถานีมาเดินอีก 5 นาทีจะถึงบริเวณเขตพระราชฐานของพระราชวังแล้วค่ะ

สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าของญี่ปุ่น ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)

สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่าของญี่ปุ่น ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle)

155

    วันนี้จะพามาทำความรู้จักปราสาทนาโกย่าอันโอฬารของญี่ปุ่น สัญลักษณ์ของเมืองซามูไรกันค่ะ ประวัติและความเป็นมาของประสาทแห่งนี้ มีประวัติที่ยาวนาน ในสมัยเอโดะ (1603-1868) นาโกย่าเป็นหนึ่งในเมืองปราสาทที่สำคัญที่สุด และปราสาทนาโกย่าก็เป็นที่พำนักของตระกูลโอวาริโทคุกาวะ หนึ่งในสามสายสกุลโทคุกาวะที่มีสิทธิได้รับเลือกให้เป็นโชกุน อีกทั้งยังเป็นแนวหน้าในการป้องกันเมืองเมื่อสู้รบกับโอซาก้าด้วย ปราสาทนาโกย่าประดับหลังคาด้วยรูปหล่อปลาโลมาทองคำระยิบระยับ 18 กะรัต สูง 2 เมตรที่น่าประทับใจ และเป็นหอคอยปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ     โดยการก่อสร้างป้อมปราการเริ่มขึ้นในปี 1610 และเสร็จสมบูรณ์ 2 ปีหลังจากนั้น ท่านโทคุกาวะ อิเอะยะสุ โชกุนผู้มีเล่ห์เหลี่ยม ได้สร้างปราสาทขึ้นโดยไม่ใช้ทรัพย์ส่วนตัวใดๆ ด้วยการสั่งให้ 20 ขุนพลที่เคยเป็นศัตรูมาก่อนก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างนี้จนเสร็จ โดยการจัดหาและขนส่งหินใหญ่หลายตัน วัสดุก่อสร้าง และค่าใช้จ่ายแรงงานนั้น เป็นภาระการเงินที่หนักหนาแก่ขุนพลทั้งหลาย ซึ่งป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้จ่ายกับอาวุธ ชุดเกราะ และกองทัพ ส่งผลให้โอกาสการแข็งข้อลดลงตามมา ส่วนใครก็ตามที่ปฏิเสธจะให้ความร่วมมือก็จะถูกกำจัด และเพื่อแสดงความยินยอมอยู่ในโอวาท หลายคนก็ได้สลักตราประจำตระกูลลงบนก้อนหินที่พวกเขาหามา      เพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดี โดยตราประจำตระกูลเหล่านี้ยังสามารถพบเห็นได้บนกำแพงหิน และการตามหาตราที่หลากหลายเหล่านี้ ก็กลายเป็นอีกกิจกรรมเสริมที่น่าสนุก และภายในปราสาทแห่งนี้จะมีภาพวาดอยู่ภายในเยอะแยะมากมาย เรียงรายตามผนัง โดยภาพวาดก็จะมีเรื่องเล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยก่อนต่างๆกันไป แต่ไม่สามารถเข้าชมได้ สามารถเดินดูได้แค่รอบๆปราสาทเท่านั้น แต่ถึงจะแค่ภายนอกก็สวยงามจนต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปกันแทบไม่ไหว เรียกได้ว่าประวัติและความเป็นมายาวนานจริงๆ      ปราสาทนาโกย่า มีพระราชวังและโครงสร้างที่เหลือที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีที่สุดเทียบกับปราสาททั้งหมดในประเทศญี่ปุ่นและได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันที่ 14 พฤษภาคม 1945 เพียงไม่กี่เดือนก่อนญี่ปุ่นจะยอมแพ้ ฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดอเมริกันได้ถล่มปราสาท ป้อมปืน ประตู กำแพง และพระราชวังที่สง่างามจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน โดยมีเพียงหอคอย 3 แห่งและประตู 2 แห่งเท่านั้นที่รอดจากไฟนรกนี้ หอคอยปราสาทถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1959 โดยมีนิทรรศการพิเศษจัดขึ้นเป็นประจำที่ห้องจัดแสดงบนชั้น 2 ขณะที่ชั้น 3 ได้จัดแสดงสภาพแวดล้อมของเมืองปราสาทที่จำลองขึ้นมาใหม่ มีชุดเกราะและอาวุธซามูไรจัดแสดงบนชั้น 4 ส่วนชั้น 5 จัดแสดงประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่งของปราสาทนาโกย่า และชั้นสูงสุดเป็นดาดฟ้าสังเกตการณ์และร้านขายของที่ระลึก     ทั้งนี้ มีคำอธิบายภาษาอังกฤษที่จะทำให้การเที่ยวชมของคุณเพลิดเพลินยิ่งขึ้น ณ ใจกลางของปราสาทนาโกย่าที่ทรงพลังด้วยกำลังทหารและล้อมรอบด้วยป้อมปราการ 2 หลังและหอคอยหลายแห่ง คือพระราชวังฮมมารุ ซึ่งพระราชวังที่ล้ำเลิศนี้ ถูกออกแบบเป็นที่พักอาศัยของขุนพลผู้ครองปราสาทและเป็นที่พักของโชกุนในภายหลัง และมีสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายในงดงามเรียบง่าย อาคารทั้งหลังก่อสร้างด้วยไม้สนฮิโนกิคุณภาพสูงอันล้ำค่า และตกแต่งอย่างหรูหราด้วยภาพวาดมากสีสันบนแผ่นทองบริสุทธิ์ ด้วยรูปเสือ เสือดาว นกและสัตว์มงคล และต้นไม้และดอกไม้ ท่านโทคุกาวะ อิเอะยะสุ รู้สึกประทับใจมาก เลยได้สั่งให้สร้างพระราชวังที่คล้ายคลึงกันอีกหลังในเกียวโต (พระราชวังแห่งนั้นก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ แต่ก็ยังด้อยกว่าพระราชวังนาโกย่า) โดย 1 ปีหลังจากสร้างเสร็จสมบูรณ์ ท่านโทคุกาวะ โยชินาโอะ บุตรของท่านอิเอะยะสุและเจ้าเมืองคนแรกของนาโกย่าได้ย้ายออกจากพระราชวังหลักไปยังพระราชวังโอ่อ่าไม่แพ้กันในป้อมปราการหลังที่สองที่อยู่ติดกัน และประกาศให้พระราชวังฮมมารุใช้สำหรับรับรองการมาเยือนของโชกุนเท่านั้น      พระราชวังแห่งนี้่ถูกใช้เพียงประมาณ 5 ครั้งในระยะเวลา 250 ปีต่อมา จึงได้รับการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ และภายหลังจากการสิ้นยุคศักดินาของประเทศญี่ปุ่น พระจักรพรรดิสามพระองค์ได้ทรงใช้พระราชวังนี้เป็นที่ประทับในฤดูร้อนระหว่างปี 1893 ถึง 1930 เป็นประจำ แม้น่าเสียดายที่พระราชวังถูกทำลายระหว่างการโจมตีทางอากาศในปี 1945 แต่งานศิลปะสำคัญหลายชิ้นก็ได้ถูกนำออกไปจัดเก็บล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกทำลาย พระราชวังฮมมารุได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบดั้งเดิมสามส่วน โดยส่วนแรกเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 2013 ส่วนที่สองในเดือนมิถุนายน 2016 และสร้างเสร็จเรียบร้อยในปี 2018 และนี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ยาวนานที่เล่าต่อๆกัน  จนกลายมาเป็น ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle) มาญี่ปุ่นลองมาสักครั้งในชีวิต รับรองว่าคุ้มค่าตั๋วที่มาไกลจากต่างแดนแน่นอน ค่าบริการ    มีเก็บค่าเข้าชมด้วยนะคะ  อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่: 500 เยน นักเรียนมัธยมต้นหรือต่ำกว่า ไม่เสียค่าเข้าชม ผู้สูงอายุที่อาศัยในเมืองนาโกย่า ตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป 100 เยน อาจต้องมีการยืนยันตัวตนและหลักฐานความเป็นผู้อาศัยสำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป (บัตรประกันสุขภาพ, ใบขับขี่, พาสปอร์ต เป็นต้น)วิธีการเดินทาง    การเดินทางโดยรถไฟ    เดินไปทางตะวันตก 5 นาที จากทางออก 7 ของสถานีชิยะคุโช รถไฟใต้ดินสายเมโจ (ขึ้นรถไฟที่วิ่งตามเข็มนาฬิกาจากสถานีซาคาเอะ ซึ่งสามารถมาได้โดยรถไฟที่มุ่งหน้าไปซาคาเอะหรือฟูจิกะโอคะ จากสถานีนาโกย่า รถไฟสายฮิกาชิยามะ) จากสถานีรถบัสนาโกย่า ขึ้นรถบัสท่องเที่ยวนาโกย่า เมกุรุ เพื่อไปยังปราสาทนาโกย่า (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที)    การเดินทางโดยรถยนต์    ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 8 นาที จากทางออกคุโระคาวะ บนทางด่วนนาโกย่า R1 เส้นคุซุโนะคิ หรือ ไปทางทิศเหนือประมาณ 5 นาที จากทางออกมารุโนะอุจิ บททางด่วนนาโกย่า เส้นวงแหวน

ธรรมชาติน่าเที่ยว แห่งเขาซึรุมิเมืองเบปปุ ญี่ปุ่น

ธรรมชาติน่าเที่ยว แห่งเขาซึรุมิเมืองเบปปุ ญี่ปุ่น

88

วันนี้จะมาแนะนำอีกหนึ่งสถานที่ ที่ควรไปเช็คอิน ชมวิวธรรมชาติกันค่ะ สถานที่สวยๆธรรมชาติอากาศดีแบบนี้ต้องให้ยอดเขาซึรุมิแน่นอน ยอดเขาซึรุมินั้น ตั้งอยู่ในเมืองเบปปุ จังหวัดโออิตะ ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะคิวชูค่ะ เมืองเบปปุ เป็นเมืองที่โด่งดังมากๆ ในเรื่องของบ่อน้ำพุร้อนค่ะ เพราะเป็นเมืองที่มีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลยนะคะ เพราะคนญี่ปุ่นนิยมแช่นำ้พุร้อนธรรมชาติกันมากเลยทีเดียว วัฒนธรรมแช่น้ำร้อนของคนญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลาย ช่วยให้หายเหนื่อยล้า สบายตัว ดีต่อสุขภาพ ต่อจากการแช่นำ้พุร้อนแล้ว มาขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปท่องเที่ยวบนยอดเขาซึรุมิกันต่อค่ะ    โดยจะมีจุดขึ้นกระเช้าไฟฟ้าให้นักท่องเที่ยวได้ขึ้นไปชมวิวธรรมชาติจากความสูง สามารถชมความงดงามของเขาซึรุมิได้ทั้งหมดสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว โดยกระเช้านั้นจะค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆไปสู่ยอดเขา ช่วงกระเช้ากำลังขึ้นสู่ยอดเขาเราก็จะเห็นวิวจากภูเขาลูกอื่นๆด้วย แล้วยังมีอ่าวเบปปุที่สวยงามกว้างขวาง และวิวจากต้นไม้เขียวชะอุ้ม เมื่อเราถึงยอดเขาแล้ว เราก็จะเจอกับศาลเจ้าค่ะ รอบๆศาลเจ้ามีวิวจุดเด่นที่ทุกคนที่ไปจะเก็บภาพวิวแถวนั้นกัน เพราะสวยและมองไปได้ไกลมาก โดยวิวรอบๆก็จะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและฤดูที่ไปด้วยนะคะ    ยอดเขาซึรุมิถื อว่าเป็นยอดเขาที่อยู่ใกล้ตัวเมืองเบปปุมากที่สุดค่ะ ในช่วงหน้าหนาว ยอดเขาซึรุมิเป็นจุดแรกที่หิมะจะตกลงมาค่ะ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หากชาวเมืองเบปปุอยากเล่นหิมะ ก็มักจะพาลูกๆ หลานๆ มาเล่นหิมะกันที่นี่ เป็นที่แรกค่ะ ได้บรรยายหิมะแรก พร้อมท่องวิวสวยๆ เหมาะกับการพาครอบครัวมาพักผ่อน หย่อนใจ ชมธรรมชาติ ได้สร้างกิจกรรมภายในครอบครัวไปในตัวอีกด้วย โดยการขึ้นไปเที่ยวบนยอดเขาซึรุมินี้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสูง 1,375 เมตร จากยอดเขามีทิวทัศน์มุมกว้างแบบพาโนราม่าที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว    ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติแล้ว จึงสามารถพบเห็นดอกไม้และต้นไม้ต่างๆ ได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี สำหรับใครที่ยังไม่มีที่เที่ยวในใจ แอดขอแนะนำยอดเขาซึรุมิ ไว้เป็นอีกหนึ่งที่ ที่คุณมาแล้วจะต้องประทับใจแน่นอนและต้องกลับมาอีกแน่ๆ แต่ที่นี่ก็ยังไม่ได้เปิดให้เข้าชมฟรี ยังคงเก็บค่าบริการตลอดทั้งปี แต่ถ้าเทียบกับราคา และได้ขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ค่าตั๋วผู้ใหญ่ 1,600 เยน ( ที่นี่รับเฉพาะเงินสดเท่านั้นนะคะ ) ราคา ค่าเข้า ค่าขึ้นกระเช้าไฟฟ้า อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย ในแต่ละฤดูกาลราคาจะไม่คงที่ กระเช้าไฟฟ้าจะออกทุกๆ 15 นาที ใช้เวลาบนกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาน่าจะราวๆประมาณ 10 นาทีได้ค่ะ ที่นี่เปิดบริการทุกวันไม่มีวันหยุด เปิดตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 น. นะคะ การเดินทางวิธีการเดินทาง จากตัวเมืองเบปปุ สามารถเดินทางมาได้โดยการนั่งรถบัสหรือขับรถมาค่ะ จากตัวเมืองเบปปุ หากเดินทางด้วยรถยนต์ ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เพื่อมาถึงยังจุดขึ้นกระเช้าค่ะวิธีการเดินทางโดยการนั่งรถบัส Kamenoi Bus จากหน้าสถานี JR Beppu Station (ทางออกฝั่งตะวันตก) โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที

ชี้ทางเที่ยว แนะเที่ยวประเทศญี่ปุ่นตามฤดูกาล

ชี้ทางเที่ยว แนะเที่ยวประเทศญี่ปุ่นตามฤดูกาล

119

   วันนี้แอดจะมาบอกถึงฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น ว่าประเทศญี่ปุ่นเค้ามีกี่ฤดูกาล และแต่ละฤดูกาลแตกต่างกันยังไง การจะไปเที่ยวญี่ปุ่นสิ่งที่ต้องควรรู้คือฤดูกาลและเดือนเวลาของฤดูกาลนั้นว่าฤดูกาลไหนเพื่อที่เราจะได้เตรียมเสื้อผ้าให้ถูกกับฤดูกาลบ้านเขาด้วย การใส่เสื้อผ้าให้ถูกกับฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่นนั้นสำคัญมาก หากใส่ผิดอย่างเช่นหน้าร้อน แต่ใส่แขนยาวชุดขน ก็คงจะไม่เหมาะใช่ไหมล่ะ ใช่ว่าต่างประเทศจะมีแต่หิมะและหนาวซะเมื่อไร     ถ้าไม่ศึกษาและเตรียมตัว จะเปลี่ยนปัญหาในภายหลังเมื่อไปเที่ยว แถมยังลำบากในการใช้ชีวิต บางคนอาจจะไปซื้อเอาที่นู้นก็ได้ จะได้ไม่ต้องหิ้วอะไรไปเยอะแยะมากมาย แต่คงไม่มีใครจะไปซื้อที่นู้นได้หมดทุกอย่างหรอกเนาะเพราะมันเสียเวลาหาซื้อ แต่สำหรับคนที่เตรียมไป แต่ถ้าเตรียมไปผิด นอกจากจะได้เสียเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ ยังต้องหนักหิ้วกระเป๋าสัมภาระที่มีน้ำหนักมากขึ้น เผลอๆอาจจะต้องเสียค่าโหลดกระเป๋ากลับเพิ่ม ยิ่งทำให้เสียเงินหลายต่อเข้าไปอีก มานี่เลย วันนี้แอดจะบอกถึงช่วงเดือนและฤดูกาลให้ฟัง จะได้พร้อมไปเที่ยวอย่างสบายใจ ประเทศญี่ปุ่นนับว่ามีทั้งหมด 4 ฤดูกาลด้วยกัน คือ ฤดูหนาว ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูใบไม้ผลิฤดูหนาว   ญี่ปุ่นจะมีช่วงฤดูหนาวประมาณเดือน -ธันวาคม-มีนาคม เป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นมีอากาศที่หนาวที่สุด ในช่วงนี้อุณหภูมิอาจติดลบ -6° - 20°C นักท่องเที่ยวควรเตรียมเสื้อแขนยาวที่หนา หรือเสื้อขนกันหนาวสำหรับใส่ต่างประเทศให้พร้อมเพื่อการอบอุ่นแก่ร่างกาย และรองเท้าสำหรับเดินบนหิมะ เพราะอาจจะมีหิมะตก และได้ไปเที่ยวสถานที่ที่มีหิมะ ฤดูหนาวเป็นไฮไลท์ของประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทยเราชอบหน้าหนาวมาก เพราะอยากเห็นหิมะตกนั่นเอง    สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูหนาวที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น เกาะฮ็อกไก โดซัปโปโร Sapporo , เกาะคิวชูนางาซากิ Nagasaki , เกาะฮอนชู อากิตะ Akita เป็นต้นฤดูร้อน   ช่วงระหว่างเดือน มิถุนายน-สิงหาคม จะเป็นช่วงที่ประเทศญี่ปุ่นมีความร้อนอยู่ที่อุณหภูมิ 16° - 30°C เสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่ควรหนาเกินไป สามารถใส่สายเดียว เสื้อแขนกุด กางเกงขาสั้นและกระโปรงสั้นได้ตามสบาย เป็นฤดูกาลที่เที่ยวสบายๆ ไม่หนาวจนเกินไป เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยว ที่ไม่สู้อากาศหนาวมากนัก    สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูร้อน ที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น ทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ Farm Tomita , วัดเมเกซึอิน Meigetsuin Temple , ทุ่งลาเวนเดอร์ ทะเลสาบคาวากุจิโกะ, ทะเลสาบอาชิ Lake Ashi เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ    ฤดูไบไม้ผลิช่วง เมษายน-พฤษภาคม อุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะอยู่ที่ 2° - 24°C เสื้อผ้าที่ควรใส่  ควรจะใส่เสื้อผ้าที่มีแขนยาวแต่บางไม่ต้องหนาจนเกินไป แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ เพราะสภาพอากาศบางวันอาจไม่เหมือนกัน ฤดูกาลนี้ยังเป็นฤดูกาลยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยวมาก โดยเฉพาะชาวไทยที่นิยมไปกันอย่างมาก เพราะอากศบ้านเรานั้นจะร้อนจัดช่วงนี้ เลยต้องหนีร้อนไปพึ่งหนาวกันส่วนไหญ่   สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูใบ้ไม้ผลิ ที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น สวนอุเอโนะ Ueno Park , เทศกาลฟูจิชิบะซากุระ Fuji Shibazakura Festival , สวนดอกไม้อาชิคางะ Ashikaga Flower Park , ปราสาทฮิโรซากิ Hirosaki Castle เป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง   กันยายน-พฤศจิกายน อุณหภูมิในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ที่ 7° - 27°C อากาศช่วงนี้ถือว่าหนาวพอสมควร สำหรับคนไทยเรา แต่เป็นหนาวที่เดินสบายๆ เหมาะกับการชมวิวทิวทัศน์จากดอกซากุระเบ่งบานทั่วเมือง เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมมามากที่สุด เสื้อผ้าที่ควรสวมใส่ ต้องสามารถกันหนาวกันลมได้เป็นอย่างดี    สำหรับเมืองและแหล่งท่องเที่ยวใน ฤดูใบไม้ร่วง ที่ได้รับความนิยม อาทิเช่น ทะเลสาบคาวากุจิ Kawaguchiko , ทะเลสาบโทวาดะ Lake Towada , มิคุนิพาส Mikuni Pass , เกาะอิทสึคุชิมะ Itsukushima , วัดบิชามอนโด Bishamon-do Temple    เห็นไหมล่ะว่าถ้าเรารู้จักฤดูกาลของประเทศญี่ปุ่น ว่าแต่ละช่วงเดือน มีอุณหภูมิที่เท่าไหร่กันบ้าง ก็ง่ายต่อการจัดกระเป๋าพร้อมเตรียมตัวออกเดินทาง ไปเที่ยวกันอย่างสบายใจ และเตรียมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกได้อย่างถูกต้อง เช่นถุงมือหมวก รองเท้า หรือสิ่งของอย่างอื่นก็ง่ายขึ้น ขอให้ทุกคนท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุขนะคะ

เที่ยวทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita)

เที่ยวทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita)

270

   รู้หรือไหมว่าฮอกไกโด เกาะทางเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น มีสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุด นั้นก็คือทุ่งลาเวนเดอร์ ฟาร์มโทมิตะ เป็นฟาร์มที่ตั้งอยู่ในเมืองนากะฟุราโนะ จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ฟาร์มแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1903 ก่อนที่ในปี 1958 จะได้มีการเริ่มปลูกต้นลาเวนเดอร์เพื่อใช้ทำน้ำมันหอมระเหย โดยมีพื้นที่กว้างกว้างสุดประมาณ 1,400 ไร่ ทำให้มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก แวะเวียนมาเยี่ยมชมดอกลาเวนเดอร์สีม่วงนี้มากมาย    ตั้งแต่นั้นมาก็ได้เริ่มพัฒนาฟาร์มให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โทมิตะฟาร์มยังมีสวนดอกไม้นานาพรรณอีกมากมาย ไฮไลท์ของทุ่งแห่งนี้ต้องยกให้ ทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วง ที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา สวยงามราวกับความฝัน ในช่วงต้นเดือน-กลางเดือนกรกฎาคม เต็มไปด้วยดอกลาเวนเดอร์สีม่วงสดสวยงามมากค่า ฟาร์มโทมิตะนอกจากทุ่งดอกลาเวนเดอร์แล้ว ยังมีดอกไม้ 7 สีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ดอกไม้ 7 สีได้แก่ สีขาว สีม่วง สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีชมพู และสีเขียว ทอดยาวคล้ายกับสายรุ้ง เรียกว่าทุ่งอิโรโดริ ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเยี่ยมชมทุ่งอิโรโดริแนะนำช่วง เดือนกรกฎาคมค่ะ นอกจากสวนดอกไม้แล้วยังมี แกลลอรี่ เฟลอร์ เป็นพื้นที่จัดแสดงภาพถ่ายของดอกไม้สี่ฤดู สามารถเข้าชมได้ภายในฟาร์ม โดยภายในจะเป็นพื้นที่โล่งกว้างมีภาพถ่ายจากสวนดอกไม้ ติดผนังเรียงรายไว้เยอะแยะมากมาย ให้นักท่องเที่ยวชมกันอย่างเพลิดเพลิน แถมเข้าชมฟรีตลอดทั้งปีไม่มีค่าใช้จ่าย    ฮไลท์อีกอย่างที่ไม่ควรพลาด มาถึงแล้วต้องมาลองชิม ซอฟท์ครีม ไอศกรีมลาเวนเดอร์ ที่ทำมาจากดอกลาเวนเดอร์ มีกลิ่นหอมดอกลาเวนเดอร์รสชาติเข้มข้น นอกจากไอศกรีมแล้วยังมีขนมปังอีกมากมายให้ชิมต้องไปลองนะคะ ภายในฟาร์มยังมีสินค้าอีกมาย จัดเป็นร้านขายสินค้าของฝาก ที่ทำมาจากดอกลาเวนเดอร์เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น สบู่ น้ำมันหอมระเหย ดอกไม้อบแห้ง นำ้หอม อาหาร สามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากได้เลย ช่วงเวลาที่เหมาะสม    สวน Spring Field จะมีดอกไม้บานสะพรั่ง เช่น ดอกป๊อปปี้ไอซ์แลนด์ ดอกป๊อปปี้ตะวันออก และไม้ยืนต้นอื่นๆ  โดยที่ ช่วงประมาณ เดือน กรกฎาคม จนถึงต้นเดือน สิงหาคม จะเป็นช่วงที่ ดอกลาเวนเดอร์ กำลังบานสะพรั่งเต็มที่เลยค่ะ ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะที่สุดค่ะ   และทุ่งดอกป๊อปปี้สีขาว สีแดง สีชมพูและดอกไม้หลากหลายสีสันที่กระจายอยู่ภายในสวน ซึ่งดอกไม้จะเบ่งบานที่สุดในช่วง ช่วงเดือนกันยายนของทุกปี   สำหรับ ทุ่งดอกทานตะวัน ดอกซัลเวีย และดอกคอสมอส ต่างๆ สามารถรับชมไดตลอดทั้งปีค่ะ หรือทางฟาร์มอาจจะปลูกดอกไม้ใหม่ให้ได้ชมกันอีกมาย สรุปได้ว่าต้องอย่าพลาด ต้องไปให้ได้นะคะวิธีการเดินไปยังฟาร์มโทมิตะ   คุณสามารถนั่งรถไฟ รถบัส หรือขับรถยนต์จากอาซาฮิคะวะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อไปเยือนฟาร์มโทมิตะ หรือจะขับรถยนต์ ซึ่งคือ วิธีที่เรียบง่ายที่สุดในการมุ่งหน้าสู่ฟาร์มโทมิตะ พอมาถึงแล้วก็สามารถ เข้าชมฟรี เปิดตลอด 24 ชั่วโมง    ส่วนร้านค้าภายในฟาร์มเปิด 8:30 - 17:30 น. เที่ยวช่วงไหนดีจะได้ชมสวนเอกไม้อย่างเต็มที่นั่น ก็ต้องบอกว่าตามสมควรช่วงของช่วงเวลาที่เราจะสะดวกได้เลยนะคะ เพราะที่นี่เปิดใหเข้าชมอยู่ตลอดทั้งปี แต่จะมาตรงกับฤดูการไหนมากกว่ากันเท่านั้นเองค่ะ

ทำความรู้จัก ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

ทำความรู้จัก ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)

158

   สวัสดีค่ะทุกคนวันนี้แอดจะพามารู้จักกับปราสาทฮิเมจิ หรืออีกชื่อในนามปราสาทนกกระสาขาวนั้นเอง ปราสาทฮิเมจิ คือ ปราสาทที่ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ ปราสาทฮิเมจิเป็นปราสาทเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่แห่งหนึ่งที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิงจากปี พ.ศ 2538 ยังถูกยกให้เป็นมรดกโลก และเป็นมรดกโลกชิ้นแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย ปราสาทฮิเมจิมีความเก่าแก่กว่า 600 ปี ยังมีป้อมปราการชุดแรกสร้างขึ้นในช่วงยุค 1400 เนื่องจากที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นจุดยุทธศาสตร์เพื่อใช้ป้องกันทิศตะวันตกของเมืองเกียวโต กลุ่มปราสาทในปัจจุบันสร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2452 ภายใต้การควบคุมดูแลของขุนนางไดเมียวที่ชื่อ อิเคดะ เทรุมาซะ    ปราสาทแห่งนี้ประกอบด้วยอาคารมากกว่า 80 หลังเชื่อมต่อกันด้วยเส้นทางต่างๆ ที่คดเคี้ยวเหมือนเขาวงกต และประตูโอเตะมงเป็นประตูหลักของปราสาทฮิเมจิ จากประตูนี้คุณสามารถเข้าไปยังพื้นที่ของปราสาทที่เปิดให้เข้าได้ฟรีบางส่วน อย่างตรงกำแพงชั้นนอกลำดับที่สาม หรือที่เรียกว่า ซันโนะมารุ พื้นที่ส่วนนี้ของปราสาทมีสนามหญ้ากว้างที่เต็มไปด้วยต้นซากุระจำนวนมาก ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมในการปิกนิกชมดอกซากุระ เมื่อเดินผ่านประตูฮิชิเข้าไปก็จะเป็นส่วนที่ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าชมปราสาท หลังจากที่ซื้อตั๋วจากบูธขายตั๋วใกล้กับประตู ราคาค่าตั๋ว 1,000 เยน ผู้มาเยี่ยมชมก็สามารถเดินเข้าตามทางแคบๆ ของปราสาทชั้นใน ไปยังอาคารหลักสูงหกชั้นได้    คุณสามารถเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดของปราสาทได้ ยิ่งคุณเดินขึ้นไป แต่ละชั้นก็จะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากป้ายคำอธิบายลักษณะทางสถาปัตยกรรมและประโยชน์ในการป้องกันภัยที่สำคัญของปราสาทแล้ว ภายในก็ไม่ได้ประดับตกแต่งอะไรมาก ที่ชั้นบนสุดของปราสาทเป็นศาลเจ้าเล็กๆ และจุดชมวิวทิวทัศน์ให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ทอดสายตามองปราสาทฮิเมจิและเมืองที่อยู่ด้านนอก นอกจากนี้คุณยังสามารถเดินไปยังกำแพงทางทิศตะวันตก หรือนิชิโนะมารุที่อยู่ภายในพื้นที่ที่ต้องจ่ายค่าเข้าของปราสาทได้    โดยพื้นที่นี้มีทิวทัศน์ที่งดงามของอาคารหลักของปราสาท และในบริเวณปราสาทมีต้นซากุระเรียงรายมากกว่า 1,000 ต้น คุณสามารถชมดอกซากุระจากพื้นที่รอบนอกได้ฟรี แต่ถ้าต้องการชมดอกไม้ตรงพื้นที่ด้านในปราสาทจะต้องเสียค่าเข้าชม และปฏิเสธไม่ได้ว่าปราสาทแห่งนี้จะงดงามที่สุดในฤดูซากุระผลิบาน ซึ่งเป็นช่วงที่ปราสาทมีคนพลุกพล่านมากที่สุด ชาวเมืองและนักท่องเที่ยวหลายร้อยคนเดินทางมายังปราสาทแห่งนี้ เพื่อปิกนิกและถ่ายรูปดอกซากุระผลิบาน หากคุณไม่ชอบคนพลุ่กพล่าน และอยากชมปราสาทอย่างเงียบ ๆ ก็แนะนำให้หลีกเลี่ยงหน้าซากุระ อาจจะมีการจำกัดจำนวนตั๋วเข้าชมอาคารหลักของปราสาทด้วยในช่วงซากุระบาน การเดินทาง   การเดินทางจากเมืองฮิเมจิไปประสาทฮิเมจิ เดินทางโดยรถบัสหลังจากถึงสถานี Sanyo Himeji Station เราสามารถเดินเท้าไปยังปราสาทฮิเมจิได้เลย โดยใช้เวลาราวๆ 20 นาที เวลาปิด-เปิด เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-17.00 ประตูปิด 16.00 อัตราค่าเข้าชม ค่าเข้าชมภายในตัวปราสาทสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไปราคาจะอยู่ที่ 1000 เยน ราคานักเรียนจะอยู่ที่ 300 เยน

ทำของหายที่ญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร?

ทำของหายที่ญี่ปุ่น ต้องทำอย่างไร?

157

   สวัสดีค่ะ ทุกคน ไปเที่ยวไกลถึงญี่ปุ่นใครจะไปอยากทำของหายกันล่ะเนาะ ไปญี่ปุ่นทั้งทีก็อยากไปเที่ยวอย่างสบายใจ เพราะญี่ปุ่นเป็นเมืองที่มีเสน่ห์อันงดงาม เป็นประเทศในฝันของใครหลายๆคนที่อยากมาเยือนประเทศแห่งนี้ เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่า มีสถานที่เที่ยวที่สวยที่สุด และวัฒนธรรมด้านอาหารที่อร่อยโด่งดังไปทั่วโลก รอคอยเราไปสัมผัสอีกตั้งมากมาย แต่กลับต้องมาวุ่นวายเสียเวลา เพราะทำของหาย ยิ่งถ้าของสิ่งนั้นมีความจำเป็นกับเรามากๆ เช่นเงินที่มากพอสมควรหรือพาสปอร์ต ก็ว้าวุ่นกันเลยทีเดียว เพราะไม่ว่ายังไงก็ต้องตามหาให้เจอให้ได้ ไม่อย่างนั้นหมดสนุกอย่างแน่นอน แต่มันก็เผลอลืมหรือทำหายไปแล้วจริงๆจะทำยังไงได้ เราก็ต้องมาหาวิธีแก้ไขกันต่อไป    สถานที่ยอดฮิตที่คนมักทำของหาย ร้านอาหาร รถไฟ รถบัส รถแท็กซี่ กว่าจะนึกขึ้นได้ก็อยู่อีกสถานที่แล้ว หรือรถโดยสารไปไกลแล้ว แถมสถานที่เมืองชุมชนต่างๆ มันสลับซับซ้อนมากทำใจเราว้าวุ่นเลยทีเดียว ซึ่งเราไม่คุ้นเคยเลยเพราะมันคือต่างประเทศ เราจะทำยังไงดี สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือใครได้บ้าง วันนี้แอดจะมาบอกวิธีตามหาของที่เราลืมหรือทำหาย กันอย่างผู้มีประสบการณ์ค่ะตั้งสติและทบทวนตัวเองจงมีสติ    สติสำคัญที่สุด คุณต้องตั้งสติไล่เรียงเหตุการณ์ให้ดี ว่าเราเอากระเป๋าหรือของสำคัญนั้นวางไว้ตรงไหน ลืมไว้บนรถแท็กซี่ไหม รถไฟไหม ให้ค่อยๆนึกตามไปทีละจุด ถ้ายังหาไม่เจอจริงๆ งั้นลองขอความช่วยเหลือจากผู้คน ที่อยู่ในร้านอาหาร หรือสถานที่เที่ยว ที่เราไปว่าเค้ามีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่อยู่ไหม เพื่อติดต่อสอบถาม และเราต้องบอกลักษณะถุงและกระเป๋าให้อย่างชัดเจนเพื่อจะได้รับความช่วยเหลือต่อไป แต่ถ้ายังไม่มีใครเจอจริงๆนี่คือที่พึ่งสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจเลยขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง หรือ เจ้าหน้าที่    แม้ญี่ปุ่นจะได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยและซื่อสัตย์อย่างมาก แต่เวลาเกิดเหตุการณ์ของหาย ขอให้นึกถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ก่อนเลย เมื่อคุณเข้าไปติดต่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะซักถามรายละเอียดเกี่ยวกับของที่ทำหายไป เช่น หายที่ไหน เวลากี่โมง ยี่ห้อ ขนาด สี รวมถึงเบอร์โทรศัพท์และโรงแรมที่พัก เพื่อติดต่อกลับไปหากมีคนเจอของและเก็บมาส่ง แต่กรณีที่คุณไม่มีเบอร์โทรศัพท์ในญี่ปุ่น คุณสามารถจะกลับไปที่สถานีตำรวจในวันถัดไปหรือหลังจากนั้นอีก 2-3 วัน    ดังนั้น คุณต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนและครบถ้วน แน่ใจว่าตำรวจจะตามสิ่งของให้เราจนเจออย่างแน่นอน ไม่ว่าจะบนแท็กซี่หรือรถไฟต่างๆ ส่วนมากจะเจอนะ ถ้าไม่ถึงกับดวงซวยจริงๆ พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก อย่างนั้นคงต้องทำใจ ถ้าเป็นของสำคัญอย่างพาสปอร์ต ก็สามารถปรึกษาตำรวจขอแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป เพราะพาสปอร์ตสำคัญมากในการใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น    จำไว้นะคะว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เกินที่เราจะจัดการแก้ไขเองได้แล้ว ควรนึกถึงตำรวจเลยค่ะ เพราะเป็นการแก้ปัญหาและที่พึ่งที่ดีที่สุดแล้วค่ะ และก็ไม่ต้องตกอกตกใจขวัญเสียกันไปนะคะ ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ ขอเพียงแค่ทุกคนมีสติ แค่นี้เราก็จะสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆได้อย่างราบรื่น ขอให้ทุกคนเที่ยวญี่ปุ่นกันอย่างมีความสุขนะคะ